รีวิว All-new Mazda BT-50 2021 ใหม่ โดดเด่นที่ดีไซน์ สมรรถนะไม่เป็นรองใคร
All-new Mazda BT-50 2021 ใหม่ ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในไทยเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม 2564 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งชูจุดขาย "ปิกอัพที่สง่างามที่สุดในโลก" แต่นอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกตามฉบับ "KODO Design" อันเป็นเอกลักษณ์ของมาสด้าแล้วนั้น รถคันนี้ยังมีจุดเด่นอะไรอีกบ้าง Sanook Auto ขอพาคุณผู้อ่านทุกท่านไปพิสูจน์กันครับ
เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่า All-new Mazda BT-50 2021 ใหม่ ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับกระบะยอดนิยมขวัญใจชาวไทยอย่าง Isuzu D-Max โฉมปัจจุบัน ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะที่ผ่านมามาสด้าก็เคยจับมือกับฟอร์ดในการพัฒนา บีที-50 โฉมก่อนหน้ามาแล้ว (หรือแม้กระทั่งรถสปอร์ตในตำนานอย่าง Toyota Supra รุ่นปัจจุบัน ก็ใช้พื้นฐานมาจาก BMW Z4 แทบทั้งสิ้น)
ซึ่งการนำพื้นฐานของรถรุ่นอื่นมาพัฒนาต่อให้กลายเป็นของตัวเองนั้น นอกจากจะช่วยให้สามารถควบคุมต้นทุนและระยะเวลาด้านการวิจัยและพัฒนาได้เป็นอย่างดี ยังเป็นการนำเอาจุดเด่นของรถรุ่นนั้นๆ มาใส่ไว้ในรถของตัวเองอีกด้วย ก็ในเมื่อชื่อชั้นของอีซูซุที่มีจุดขายด้านความทนทานมาโดยตลอด แถมยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ลูกค้ารถกระบะมองหา จึงกลายมาเป็นที่มาว่าทำไมจู่ๆ มาสด้าถึงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับค่ายกระบะยักษ์ใหญ่ (ของไทย) ในครั้งนี้
ถึงกระนั้น มาสด้าก็ได้มีการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกของ BT-50 เสียใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการออกแบบของมาสด้ารุ่นอื่นๆ โดยยังคงอาศัยแนวคิดการออกแบบ "KODO Design" ที่เน้นเส้นสายโค้งมนและโฉบเฉี่ยวตลอดทั้งคัน แต่ยังคงแฝงไปด้วยความบึกบึนในรูปแบบของมาสด้าเอง ส่งผลให้ BT-50 ดูมีรูปลักษณ์ค่อนไปทางเอสยูวึตระกูล CX ของค่ายอย่างเห็นได้ชัด
Mazda BT-50 2021 ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 3 ตัวถัง ประกอบด้วย Standard Cab, Freestyle Cab และ Double Cab แบ่งออกเป็นทั้งหมด 14 รุ่นย่อย พร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.9 ลิตร และ 3.0 ลิตร โดยเครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร จะถูกวางอยู่ในรุ่น Double Cab ขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น ส่วนรุ่นอื่นๆ จะเป็นเครื่องยนต์ 1.9 ลิตรทั้งหมด
แต่รถที่เราได้มีโอกาสทดสอบขับเป็นรุ่น Freestyle Cab 1.9 C Hi-Racer เกียร์ธรรมดา 6 สปีด แม้ว่าจะไม่ใช่รุ่นท็อปที่มีอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน แต่ก็เชื่อว่าน่าจะได้รับความนิยมจากลูกค้าไม่น้อย เนื่องจากเป็นรุ่นเริ่มต้นของตัวยกสูงที่มีราคาจำหน่ายเพียง 7 แสนบาทต้นๆ เท่านั้น
ภายนอก
ดีไซน์ภายนอกของ Mazda BT-50 ใหม่ เน้นเส้นสายที่ดูหรูหราสง่างาม ติดตั้งกระจังหน้าขนาดใหญ่แบบ Signature Wing ล้อมกรอบด้วยโครเมียม ออกแบบรับกับไฟหน้าโปรเจคเตอร์ LED (ซึ่งมีให้ตั้งแต่รุ่น Standard Cab) พร้อมสวิตช์ปรับระดับสูง-ต่ำจากภายในรถ, ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบฮาโลเจน, ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED, กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า, ที่ปัดน้ำฝนแบบปรับตั้งหน่วงเวลาได้ และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 255/65 R17
หากเป็นรุ่น 1.9 S ขึ้นไป ก็จะมีอุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มเติม เช่น ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED Signature, กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า, กระจังหน้าตกแต่งด้วยสีเงิน และที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติมาให้ด้วย
ภายใน
ภายในห้องโดยสารของรุ่น 1.9 C Hi-Racer ติดตั้งเบาะนั่งหุ้มวัสดุผ้าลายสปอร์ต สามารถปรับได้ 4 ทิศทางทั้งฝั่งผู้ขับและผู้โดยสาร (ฝั่งผู้ขับขี่ไม่สามารถปรับขึ้น-ลงได้), พวงมาลัยและหัวเกียร์ทำจากวัสดุยูรีเทน, แผงคอนโซลหน้าตกแต่งด้วยหนังสีดำ, ช่องเก็บของบริเวณคอนโซลกลางแบบมีฝาปิด, กระจกไฟฟ้า 4 บาน พร้อมระบบขึ้น-ลงอัตโนมัติด้านคนขับ, กุญแจรีโมท (ไม่มีระบบ Keyless Entry), จอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 3.5 นิ้ว และระบบปรับอากาศธรรมดา (แบบปุ่มหมุน) เป็นต้น
ขณะที่เครื่องเสียงเป็นแบบ 2DIN หน้าตาเรียบง่าย รองรับ CD/DVD ได้ 1 แผ่น แต่ก็มีระบบ Bluetooth พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB/AUX มาให้ ขับกำลังเสียงผ่านลำโพง 6 ตำแหน่ง
แต่หากเป็นรุ่น 1.9 S ขึ้นไปจะได้หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ส่วนรุ่น 1.9 SP ขึ้นไป จะถูกขยายขนาดหน้าจอขึ้นเป็น 9 นิ้ว โดยทั้ง 2 ขนาดสามารถรองรับการเชื่อมต่อ Wireless Apple CarPlay และ Android Auto ได้ โดยที่รุ่น SP จะเพิ่มเติมด้วยลำโพงให้อีก 2 ตำแหน่ง รวมเป็นทั้งหมด 8 ตำแหน่ง
ระบบความปลอดภัย
ระบบความปลอดภัยของ BT-50 รุ่น 1.9 C Hi-Racer ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน ประกอบด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง, ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรก BA, ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS, ไฟเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง และระบบลดกำลังเครื่องยนต์เพื่อช่วยเบรก (Brake Override System) เป็นต้น
แต่หากต้องการระบบควบคุมเสถียรภาพ Dynamic Stability Control (DSC) จะต้องขยับไปเล่นรุ่น 1.9 C Hi-Racer 6AT ขึ้นไป (หรือรุ่น 1.9 S ขึ้นไปในตัวถัง Double Cab) โดยจะพ่วงระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS, ระบบช่วยการออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC มาให้ด้วย
ส่วนเป็นระบบความปลอดภัยขั้นสูง ได้แก่ ระบบเตือนจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Advanced Blind Spot Monitoring และระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert จะอยู่ในรุ่น Double Cab ตั้งแต่ 1.9 S Hi-Racer ขึ้นไปเท่านั้น ส่วนรุ่น Freestyle Cab ไม่มีมาให้แม้แต่รุ่นย่อยเดียว
เครื่องยนต์
ขุมพลังของ All-new Mazda BT-50 ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ ดีเซล 1.9 ลิตร และดีเซล 3.0 ลิตร เริ่มต้นที่เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ คอมมอนเรลไดเร็คอินเจ็คชั่น ความจุ 1.9 ลิตร VGS Turbo ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,600 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มีให้เลือกเฉพาะระบบขับเคลื่อนล้อหลัง รองรับเชื้อเพลิงสูงสุด B20 ได้ และเคลมอัตราสิ้นเปลืองไว้ที่ 14.9 - 16.1 กม./ลิตร ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย
ขณะที่รุ่นดีเซล 3.0 ลิตร VGS Turbo มีกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,600 รอบต่อนาที เลือกได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด แต่มีเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น สามารถเติมเชื้อเพลิง B20 ได้เช่นกัน พร้อมทั้งเคลมอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 14.1 กม./ลิตร เท่ากันทั้งรุ่นเกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา
การขับขี่
อันที่จริงเราเคยทดสอบ All-new Mazda BT-50 ไปครั้งหนึ่งแล้วบนสนามทดสอบแห่งหนึ่งใน จ.สระบุรี แต่ด้วยความโค้งฉวัดเฉวียนของสนามดังกล่าว ทำให้เรารู้สึกแอบผิดหวังกับช่วงล่างที่นุ่มย้วยผิดจากที่คาดหวังเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อได้มีโอกาสนำออกมาขับบนถนนจริงก็พบว่า ช่วงล่างที่เราเคยคิดว่านุ่มเกินไปนั้น กลับเหมาะสมกับสภาพถนนของเมืองไทยเป็นอย่างดี
เพราะผู้ใช้รถกระบะจำนวนไม่น้อยที่ต้องการความสมบุกสมบันในการใช้งานเป็นหลัก หากช่วงล่างถูกเซ็ตมาแข็งกว่านี้ ก็จะส่งผลให้มีแรงสะเทือนเข้ามายังห้องโดยสารตลอดระยะเวลาขับขี่ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนจะต้องไม่ปลื้มแน่ๆ ยิ่งเวลาขับผ่านพื้นผิวที่ถูกซ่อมจนโป่งนูนขึ้นมา ยิ่งเห็นได้ชัดว่าช่วงล่างของ BT-50 ให้ความนุ่มนวลอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
สมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซล 1.9 ลิตร ในช่วงจังหวะออกตัวพอสัมผัสได้ถึงอาการรอรอบอยู่บ้าง (ซึ่งเป็นอาการเดียวกับที่เคยพบใน Isuzu D-Max 1.9 ลิตรเปี๊ยบ) แต่เมื่อรถพ้นจากจุดหยุดนิ่งออกไปแล้ว ก็ตอบสนองได้ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ดีเซลระดับ 2.2 - 2.5 ลิตร ซึ่งโดยรวมแล้วเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร อยู่ในระดับเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป แรงพอที่จะขับทั่วไทยได้แบบสบายๆ แต่หากต้องการอัตราเร่งจี๊ดจ๊าดจริงๆ คงต้องขยับไปเล่นตัว 3.0 ลิตรเลยจะดีกว่า (แต่ราคาก็กระโดดไปพอสมควรเช่นกัน และมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่อาจไม่จำเป็นนักสำหรับใครหลายคน)
จังหวะการเข้าเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ให้ความต่อเนื่องของอัตราทดได้ดี แม้ว่าระยะโยกคันเกียร์จะไม่ได้ชิดเหมือนกับที่หลายคนคาดหวังจากเกียร์ธรรมดาของมาสด้า แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานของเกียร์รถกระบะทั่วไป ไม่ได้ต่างไปจากคู่แข่งใดๆ นัก
สรุป
All-new Mazda BT50 2021 ใหม่ ฝาแฝด อีซูซู ดีแม็กซ์ ที่มีการเปลี่ยนรูปลักษณ์เพื่อจับกลุ่มลูกค้าของมาสด้าที่ไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ ด้านสมรรถนะ (โดยเฉพาะช่วงล่าง) แม้ว่าจะไม่ได้จัดจ้านอย่างที่คาดหวังไว้กับแบรนด์มาสด้า แต่ก็ดีพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป จะขึ้นเหนือล่องใต้ก็ไม่หวั่น พละกำลังเครื่องยนต์ช่วงตีนต้นอาจไม่ทันใจนัก แต่ช่วงกลางจนถึงปลายก็มีให้เค้นได้อย่างไม่น่าเกลียด เอาเป็นว่าหากใครชื่นชอบในแบรนด์มาสด้าอยู่แล้ว แต่ต้องการมองหารถกระบะสักคันไว้ใช้งาน ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกรุ่นครับ
ราคาจำหน่าย Mazda BT-50 Freestyle Cab 1.9 C Hi-Racer ที่ใช้ในการทดสอบคันนี้อยู่ที่ 714,000 บาท
อัลบั้มภาพ 35 ภาพ