กลิ่น: การเรียกร้องให้ ‘รัก’ จากธรรมชาติ

กลิ่น: การเรียกร้องให้ ‘รัก’ จากธรรมชาติ

กลิ่น: การเรียกร้องให้ ‘รัก’ จากธรรมชาติ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ระหว่างการรับรู้ถึงรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส คุณคิดว่าอะไรมีความสำคัญน้อยที่สุด แปลกแต่จริงที่ส่วนใหญ่มักจะเลือกตอบว่า “กลิ่น” ทั้งที่ตามหลักความจริงเรื่องของ “กลิ่น” นั้นมีความสำคัญมาก


ชีวิตกำเนิดจากกลิ่น
ประสาทรับกลิ่นเป็นระบบประสาทสัมผัสดั้งเดิมของมนุษย์ที่พร้อมใช้มาตั้งแต่แรกเกิด แม้ตายังมองไม่เห็น แต่ประสาทรับกลิ่นนี่แหละที่ช่วยให้เด็กน้อยทราบตำแหน่งเต้านมแม่และสามารถดูดนมเป็นอาหารได้ ไม่เพียงแค่ช่วยให้ทารกได้อิ่มท้อง ที่จริงแล้วชีวิตน้อยๆ อาจมีต้นกำเนิดจากการที่พ่อและแม่ของเขาได้กลิ่นกันและกันก็เป็นได้

กลิ่นตัวของคนเราเกิดจากต่อมสร้างกลิ่นชื่อ อะโปไครน์ (Apocrine glands) ซึ่งพบมากที่อวัยวะเพศ รักแร้ และเต้านม ต่อมนี้จะหลั่งสารคล้ายน้ำมูกที่ไม่มีกลิ่นออกมา พอแบคทีเรียธรรมดาๆ ที่ผิวหนังไปกินสารเหล่านี้เป็นอาหารและขับถ่ายสารที่มีกลิ่นออกมา ก็จะเกิดกลิ่นเฉพาะตัวบุคคลขึ้น

ในวัยหนุ่มสาวฮอร์โมนเพศขยันทำงานเป็นพิเศษ จึงสร้างกลิ่นธรรมชาติที่มีพลังยั่วยวนทางเพศเรียกว่า ฟีโรโมน(Pheromons) มากกว่าวัยอื่นๆ


สำหรับสัตว์บกเพศเมีย รวมทั้งผู้หญิงช่วงกลางรอบเดือนหรือช่วงไข่ตกจะเป็นช่วงที่ธรรมชาติสั่งให้ร่างกายผลิตฟีโรโมนมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามให้มีเซ็กซ์ตามธรรมชาติเพื่อเพิ่มจำนวนประชากร ฟีโรโมนจึงถูกเปรียบเปรยว่าเป็นกลิ่นเรียกคู่

อย่างไรก็ตามฟีโรโมนไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับรูปร่างหน้าตา และใช่ว่าฟีโรโมนของหญิงสาวหน้าตาดีจะยั่วยวนผู้ชายได้ทุกคน ความจริงก็คือแต่ละคนมีปฏิกิริยาตอบรับฟีโรโมนต่างกัน เช่นเดียวกับกลิ่นซึ่งคนหนึ่งรู้สึกว่าหอม แต่ก็อาจจัดว่าเหม็นสำหรับอีกคน คนสองคนที่ดึงดูดกันด้วยกลิ่นหรือฟีโรโมนจึงนับว่าเป็นคู่ที่มีความดึงดูดกันโดยธรรมชาติ สิ่งที่น่าสนใจคือฟีโรโมนจะไม่มีอิทธิพลเหนือเจ้าของกลิ่น นอกจากนี้ญาติมิตรสายที่ใกล้ชิดกันมักไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนระหว่างกันและกัน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากกลไกธรรมชาติที่ต้องการสนับสนุนให้มีเพศสัมพันธ์ในคนต่างพันธุกรรมกันมากกว่า


กลิ่นนี้มาจากไหน
การผลิตฟีโรโมนเป็นไปตามธรรมชาติ พันธุกรรม ความแข็งแรงของร่างกาย และฮอร์โมนที่หมุนเวียนอยู่ในกระแสเลือด อย่างไรก็ตามการผลิตฟีโรโมนตามธรรมชาติอาจถูกรบกวนจากปัจจัยบางอย่าง แทนที่จะได้กลิ่นที่ดึงดูดฝ่ายตรงข้ามให้ซู่ซ่า ก็อาจทำให้เขาเกิดอาการซบเซาได้ด้วย...

1. อาหาร ผู้นิยมอาหารประเภทเนื้อสัตว์ รวมทั้งนม เนย และเครื่องเทศ เช่น กระเทียม หอมหัวใหญ่ ฯลฯ อาจมีกลิ่นตัวแรงจนกลบกลิ่นฟีโรโมน ในขณะที่นักมังสวิรัติที่นิยมกินผัก ธัญพืช ผลไม้ และเต้าหู้จะมีกลิ่นตัวที่อ่อนกว่า

2. ความเครียด ความวิตกกังวล ภาวะพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือไม่ได้ออกกำลังกาย จนภูมิต้านทานของร่างกายตก ก็ส่งผลต่อฟีโรโมนได้เช่นกัน

3. ปัญหาสุขภาพ คนสุขภาพไม่แข็งแรง ผอมมาก อ้วนมาก มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น ภูมิต้านทานบกพร่อง โรคตับ โรคไต โรคปอด เบาหวาน ภูมิแพ้ มะเร็ง หรือโรคในช่องปาก รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องผูก อาจเป็นสาเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์เช่นกัน

4. เชื้อโรค หรือแบคทีเรียตัวร้ายที่ผิวหนังบริเวณใกล้ต่อมสร้างกลิ่น เช่น เป็นฝีที่ผิวหนัง รักแร้อักเสบ ช่องคลอดอักเสบจากแบคทีเรีย

5. อากาศ อากาศที่ร้อน อับชื้น เป็นภาวะที่ทำให้แบคทีเรียขยายจำนวน จึงสร้างกลิ่นตัวแรงจนกลบกลิ่นฟีโรโมน


ปรุงกลิ่นให้ชวนปลื้ม
หากไม่ต้องการให้เกิดกลิ่นในเชิงไม่ไม่ชวนโสภา ก็ควรใส่ใจตัวเองให้ละเอียดลออมากขึ้นสักนิด พร้อมกับหลีกเลี่ยงสาเหตุที่จะทำให้เกิดกลิ่นตัว นอกจากนี้ยังมีข้อเตือนใจดังต่อไปนี้ด้วยค่ะ

* ผ้าฝ้ายระบายอากาศ อวัยวะเพศของคนเราอยู่ในจุดลึกลับอยู่แล้ว ก็ไม่ควรไปเพิ่มความอึดอัดและหมักหมมด้วยการกางเกงในผ้าใยสังเคราะห์ ควรจะเลือกใช้กางเกงในผ้าฝ้ายที่ระบายอากาศน่าจะดีกว่า คุณผู้หญิงเองก็ไม่ควรปล่อยให้แผ่นอนามัยหรือผ้าอนามัยชิ้นที่ใช้อยู่ชิ้นเดียวชิ้นเดิมเป็นที่หมักหมมของแบคทีเรีย ถ้าทำได้ก็เปลี่ยนใหม่บ้างเถอะค่ะ

นอกจากนี้ในช่วงที่อุณหภูมิพีคสุดของหน้าร้อน แนะนำให้เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพอากาศด้วย เก็บกางเกงหนังไว้เปรี้ยวในวันอากาศเย็นที่เชียงใหม่หรือจะใส่ตอนไปเที่ยวเมืองนอกน่าจะเหมาะกว่า

* อาบน้ำวันละ 2 ครั้ง อย่าลืมว่าอากาศเมืองไทยนั้นทั้งร้อนและชื้น การอาบน้ำก่อนออกจากบ้านในตอนเช้าและก่อนเข้านอน เพื่อสะสางเชื้อแบคทีเรียไม่ให้เกิดการสะสมตัวจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำ ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นผสมน้ำยาทำความสะอาดในน้ำที่จะอาบ แค่ใช้สบู่ที่คุณชอบ ฟอกเบาๆ ให้ทั่วตัว โดยเฉพาะจุดศูนย์รวมต่อมสร้างกลิ่น บริเวณอวัยวะเพศ รักแร้ และเต้านม แล้วใช้น้ำล้างออกให้สะอาดเท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

* ชอบก็ใช้ได้ การใช้สบู่เหลวทำความสะอาดเฉพาะที่นั้น จริงๆ แล้วไม่มีความจำเป็น เพราะแค่น้ำเปล่ากับสบู่อ่อนๆ หรือน้ำอุ่นๆ เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอทำความสะอาดน้องสาวของคุณผู้หญิงได้แล้ว อย่างไรก็ตามคุณหมอไม่ได้ห้าม ใครอยากจะใช้สบู่เหลวพิเศษเฉพาะจุดเพื่อเพิ่มความมั่นใจก็ใช้ได้ เพียงแต่ไม่ควรล้างบ่อยเกินไป หรือสวนล้างเข้าไปภายใน ซึ่งจะเป็นการไปรบกวนสภาพแวดล้อมที่สมดุลดีของแบคทีเรียในช่องคลอด ดีไม่ดีจะกลายเป็นการพิฆาตแบคทีเรียชนิดดี เหลือเฉพาะชนิดที่ชอบเพาะกลิ่นขึ้นมาล่ะก็จะยุ่ง

* ชอบใช้ก็ใช้ให้เหมาะ น้ำหอมหรือโคโลญจ์ ช่วยแต่งกลิ่นเติมเสน่ห์ได้จริงอยู่ แต่ต้องใช้ให้ถูกที่นะคะ ผิวหนังแต่ละส่วนมีความบอบบางต่างกัน ดังนั้นเป็นการไม่ควรที่จะฉีดน้ำหอมใส่น้องชายหรือน้องสาว เพราะถ้าเกิดแพ้หรือแสบเห่อขึ้นมาก็จะดูไม่จืด แป้งฝุ่นทาตัวก็อีกอย่างที่ต้องใช้ให้ถูกที่ถูกทาง เขาทำมาให้ทาตัว ไม่ใช่ให้เอาไปโรยใส่น้องชายหรือน้องสาว เพราะว่าแป้งที่จับเกรอะอยู่ตรงนั้นนานหลายชั่วโมงบวกรวมกับเหงื่อ คืออาหารอันโอชะของบรรดาแบคทีเรียดีๆ นี่เอง

* อย่าอายหมอ หากคุณคิดว่าดูแลตัวเองถี่ถ้วนดีแล้ว แต่ก็ยังคงมีกลิ่นไม่พึงประสงค์อยู่ โดยเฉพาะในคุณผู้หญิง ควรรีบไปปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุและทำการแก้ไขแต่เนิ่นๆ กันต่อไป การหาซื้อยาหรือคิดจะจัดการด้วยตัวเอง ไม่มีคุณหมอคนไหนแนะนำค่ะ

และถ้ารู้สึกว่าคนรักเริ่มจะชินชากับกลิ่นเดียวกลิ่นเดิมของคุณแล้วล่ะก็อย่ารอช้า รีบปรับประสาทการดมของเขาด้วยกลิ่นใหม่ที่เร้าใจกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะต้องไปดั้นด้นเสาะหากลิ่นใหม่ที่น่าตื่นเต้นและเร้าใจของหนุ่มหรือสาวคนอื่นที่ไม่ใช่คุณ


กลิ่นสร้างบรรยากาศ
เพื่อให้บทรักทั้งหวานและเร่าร้อนสมบูรณ์แบบมากขึ้น ลองสร้างบรรยากาศรักด้วยกลิ่นเหล่านี้ดู

* ช็อกโกแล็ตหรือวานิลลา เป็นกลิ่นที่หอมหวาน อบอุ่น ทั้งยังกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้เป็นอย่างดี

* กระดังงา-ราตรี ดอกไม้ไทยกลิ่นหอมเซ็กซี่ สร้างบรรยากาศสบาย เป็นกันเอง และช่วยกระตุ้นสัญชาตญาณธรรมชาติ

* กุหลาบ มีกลิ่นต่างกันไปตามสายพันธุ์ แต่โดยรวมแล้วกลิ่นหอมของกุหลาบเป็นกลิ่นหวานโรแมนติกที่ถูกนำมาใช้สร้างบรรยากาศรักตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ทราบไหมว่าธรรมเนียมการโรยกลีบกุหลาบบนเตียงคู่แต่งงานเริ่มมาตั้งแต่สมัยโรมันทีเดียวเชียวคุณ

* ดอกส้ม สร้างอารมณ์ที่ลุ่มลึก น่าประทับใจ และลดความวิตกกังวล จึงนิยมใช้ดอกส้มมาทำช่อดอกไม้หรือมงกุฎให้กับเจ้าสาวในวันวิวาห์

* Lilly of Valley การทดสอบโดยใช้น้ำหอมกลิ่นนี้แตะแต้มร่างกายผู้หญิง โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ เป็นเวลา 3 ปี ทำให้นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันพบว่า ช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้นจริง ใครไม่เชื่อควรทราบว่าในสมัยก่อนเจ้าสาวฝรั่งนิยมใช้ดอกไม้ชนิดนี้เป็นดอกไม้ในคืนส่งตัวเข้าหอ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook