|
|
เช้าวันรุ่งขึ้น
คณะของเรายังอยู่ที่เมืองฮานอย
โดยได้เดินทางไปยัง จตุรัสบาดินห์
(Ba Dinh Square )
อันเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานของท่านประธานาธิบดีโฮจิมินห์
และสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์
และวัฒนธรรมอีกหลายแห่ง
คือ |
|
สุสานประธานาธิบดีโฮจิมินห์
ที่ได้สร้างขึ้นเมื่อปี
พ.ศ.
๒๕๑๘
เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านโฮจิมินห์ประธานาธิบดีคนแรก
ผู้เป็นที่เคารพรักยิ่งของชาวเวียดนาม
คนไทยมักเรียกท่านว่า
ลุงโฮ
สุสานนี้สร้างด้วยหินอ่อน
และหินแกรนิตสีเทา สูง ๒๑
เมตร
ภายในสุสานจะมีห้องโถงใหญ่
ซึ่งตรงกลางจะมีโลงแก้วครอบศพของลุงโฮที่มองดูคล้ายคนนอนหลับตั้งอยู่บนแท่นหิน
และมีทหารกองเกียรติยศในชุดสีขาว
ถือดาบปลายปืนยืนรักษาการณ์อยู่โดยรอบ
อากาศข้างในจะเปิดแอร์เย็นเจี๊ยบ
ผู้ที่จะมาเยี่ยมคารวะศพลุงโฮ
จะเดินไหลไปตามทางเดินแคบๆในลักษณะ
One way ผ่านโลงแก้วดังกล่าว
พอมองเห็นศพลุงโฮได้แว่บหนึ่ง
ทหารก็จะคอยสั่งให้รีบเดิน
เพื่อให้คนหลังได้ดูต่อไป
เพราะแต่ละวัน
จะมีทั้งนักท่องเที่ยว
และชาวเวียดนามมาเยี่ยมชมและเคารพศพลุงโฮไม่น้อย
และที่นี่ห้ามนำกล้องหรือกระเป๋าสะพายเข้าไปในอาคารเด็ดขาด
ต้องฝากไกด์เอาไว้
อันที่จริง
ลุงโฮ
หรือท่านประธานาธิบดีโฮจิมินห์
เมื่อตายไปเมื่อวันที่ ๒
กันยายน พ.ศ.๒๕๑๒
ท่านได้สั่งนักสั่งหนาให้เผาศพท่าน
แต่รัฐบาลเวียดนามไม่ยอม
สุสานแห่งนี้จึงได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเก็บศพของท่าน
พร้อมทั้งได้ขอให้รัฐบาลรัสเซียมิตรประเทศของเวียดนาม
ดองศพของลุงโฮให้
เพราะการดองศพให้มีลักษณะคล้ายคนนอนหลับที่เราเห็นจากศพลุงโฮ
เป็นตัวอย่างนี้
ถือเป็นความก้าวหน้าและความลับทางการแพทย์ของรัสเซีย
ที่แพทย์ทางซีกโลกตะวันตกยังไม่มีความชำนาญเท่า
และแต่ละปีทุก ๓
เดือนประมาณเดือนตุลาคม-ธันวาคม
ศพลุงโฮจะถูกนำกลับไปรัสเซียเพื่อรอรับการเปลี่ยนน้ำยาและทำความสะอาดใหม่
เพื่อให้ร่างของท่านมีอายุไปชั่วนิรันดร์
ตราบเท่าที่ชาวเวียดนามยังรักบูชาท่านอยู่
แต่ปัจจุบัน
ไกด์เล่าว่าผู้เชี่ยวชาญรัสเซียจะเดินทางมาทำการเปลี่ยนน้ำยาให้ที่เวียดนามเลย
ดังนั้น
ใครไปช่วงนั้นก็จะมิได้เห็นท่าน
รวมถึงวันจันทร์
และวันศุกร์ที่เขาปิดสุสานด้วย
ดังนั้น
ใครอยากไปชมต้องดูวันให้ดี |
ตอนที่พวกเราได้เข้าไปเคารพศพลุงโฮที่สุสานนั้น
โชคดีที่ว่าคุณถังไกด์ของเราได้แนะนำว่า
เขารู้จักกับคนที่นั่น
หากเราไม่อยากไปเข้าคิวต่อแถวยาวเหยียดแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป
ก็ให้ไปเป็นแขกเกียรติยศโดยถือหรีดไปคารวะ
เสียค่าหรีดเพียง ๖๐๐ บาท
ซึ่งพวกเราก็ยินดี
เมื่อไปถึงจึงตั้งเป็น ๒
แถว มีทหารมานำ
เอาหรีดไปเคารพหน้าสุสาน
และให้เข้าไปเยี่ยมคารวะศพลุงโฮได้โดยไม่ต้องไปต่อแถวให้เสียเวลา |
|
จากนั้น เราจึงไปเดินไปชมทำเนียบประธานาธิบดี
ที่เป็นตึกสีเหลืองสด
ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมือง |
|
|
เดินต่อไปอีกหน่อย
ก็จะถึงบ้านพักของลุงโฮทั้งเก่าและใหม่
โดยเฉพาะบ้านที่เคยพำนักอยู่ในช่วงพ.ศ.
๒๕๐๑-๒๕๑๒
เป็นบ้านที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง
ยกพื้นด้วยเสาสูง
ชั้นล่างโปร่งไม่มีผนัง
เป็นที่พักผ่อนและต้อนรับแขก
ชั้นบนสุดมีห้องสมุด
ห้องทำงาน และห้องนอน
เป็นบ้านที่เรียบง่าย สมถะ
สมกับเป็นแบบอย่างที่ดี
จนชาวเวียดนามได้ยกย่องให้ท่านเป็น
บิดาของประเทศเวียดนาม
|
|
ตลอดชีวิตของท่าน
ไม่เคยใส่สูท
และเป็นคนประหยัด
ท่านบอกว่า ข้อไม่ดีของท่าน
ที่ไม่อยากให้ชาวเวียดนามเอาเป็นแบบอย่างคือ
๑.สูบบุหรี่ และ
๒.ไม่แต่งงาน
(เพราะชีวิตของท่านได้อุทิศเพื่อบ้านเมืองไปแล้ว) |
|
เมื่อเดินมาอีกหน่อย
เราก็จะพบ เจดีย์เสาเดียว
ซึ่งมีลักษณะเป็นศาลาเก๋งจีนสร้างด้วยไม้
ตั้งอยู่บนต้นเสาต้นเดียว
ปักอยู่กลางสระบัว
อายุกว่า ๙๐๐ ปี
ภายในเป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิน
๑๐ กร ตามตำนานเล่าว่า
พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง
อยากได้พระราชโอรสมาก
และรอมานานก็ไม่สมหวังสักที
จนวันหนึ่งได้สุบินเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมปรากฏองค์อยู่กลางสระบัว
และประทานพระโอรสมาให้
หลังจากนั้นไม่นาน
ก็ทรงมีพระราชโอรสสมปรารถนา
จึงได้สร้างวัดแห่งนี้กลางสระบัวเพื่อถวายเป็นราชสักการะ |
|
หลังจากไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมแล้ว
พวกเราก็เดินต่อไปยังพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์
ที่ออกแบบและก่อสร้างโดยช่างจากรัสเซีย
เป็นสถานที่เก็บรวบรวมเรื่องราวต่างๆ
ของลุงโฮ
ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่
และขั้นตอนการปฏิวัติ
การกอบกู้เอกราช
จวบจนวาระสุดท้ายของท่าน |
มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่ไกด์ของเราเล่าให้ฟังว่า
ที่ฮานอยนี้
เราจะเห็นบ้านทาสีเพียงด้านหน้าและด้านหลัง
โดยปล่อยให้ด้านข้างเปลือยแบบไม่ทาไว้
ด้วยเหตุผลว่า
เพื่อความประหยัด
เพราะเพื่อนบ้านที่จะมาปลูกติดกัน
กำแพงต้องชิดติดกันอยู่แล้ว
ถ้าทาไปก็จะเสียเปล่า
และบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะทาสีเหลือง
เนื่องจากเหตุผล ๓ ประการ
คือ ข้อแรก
เป็นสไตล์ฝรั่งเศส ข้อสอง
อากาศที่นี่ชื้น ฝนตกชุก
ขึ้นราได้ง่าย
ทาสีอื่นจะเห็นชัด ข้อสาม
เมื่อฤดูหนาว อากาศมัวซัว
สีเหลืองจะทำให้บ้านดูสว่างสดใส
จากฮานอย
เราได้ออกเดินทางไปเมืองเว้
โดยสายการบินภายในประเทศ
ใช้เวลาบินเพียง ๑ ชม. ๑๐
นาทีก็ถึงที่หมาย
เมืองเว้นี้ได้ชื่อว่าเป็น
มรดกโลกทางวัฒนธรรมอีกแห่งหนึ่งของเวียดนาม
ด้วยว่านอกจากจะเป็นถิ่นกำเนิดของกษัตริย์ราชวงศ์เหวียนแล้ว
ยังเป็นที่ตั้งพระราชฐานโบราณของกษัตริย์ราชวงศ์นี้อีกด้วย
ซึ่งบรรดาปราสาท สวน
และสุสานอันวิจิตรบรรจงเหล่านี้ตั้งอยู่สองฝั่งของแม่น้ำหอมที่เรียกว่า
Perfume River
กล่าวกันว่าที่เรียกชื่อว่า
แม่น้ำหอม
เพราะมีหญ้าชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมขึ้นบริเวณแม่น้ำแห่งนี้
ปัจจุบันไม่ทราบว่ายังมีอยู่หรือไม่
เมืองเว้นี้มีจักรพรรดิครองราชย์ระยะสั้นๆ
หลายพระองค์
และองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหวียนคือ
จักรพรรดิเบ๋าได่
ที่ได้สละราชบัลลังก์เมื่อถูกยึดครองโดยญี่ปุ่นเมื่อปี
พ.ศ.
๒๔๘๘ |
เมื่อถึงเมืองเว้
คณะเราได้เดินทางไปเยี่ยมชมพระราชวังเว้
ที่อยู่กลางใจเมือง
ที่พระราชวังแห่งนี้
กล่าวกันว่าเคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิถึง
๑๓ พระองค์ ลักษณะพระราชวังดังกล่าวหากใครเคยไปพระราชวังต้องห้ามของจีนที่ปักกิ่ง
ก็พอจะนึกภาพออก
เพราะคล้ายๆ กัน |
|
ภายในจะมีกำแพงถึง ๓ ชั้น
เมื่อผ่านกำแพงชั้นที่สองเข้าไป
เราจะเห็นปืนใหญ่ตั้งอยู่สองฝั่งทางเข้า
ฝั่งหนึ่งมี ๔ กระบอกแทน ๔
ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ
ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง
และฤดูหนาว
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมี ๕
กระบอกแทนธาตุทั้ง ๕ ได้แก่
ดิน น้ำ ไฟ ไม้ และ โลหะ
ภายในพระราชฐานจะแบ่งออกเป็นท้องพระโรง
พระตำหนักฝ่ายหน้า
และพระตำหนักฝ่ายใน
อันเป็นที่พระมเหสีและพระสนมอยู่
ซึ่งว่ากันว่ามีพระสนมอยู่ถึง
๕๐๐ กว่าองค์ ดังนั้น
พระราชวังดังกล่าวจึงมีเนื้อที่กว้างขวางมาก
โดยดูได้จากผังเดิมที่แสดงไว้
แต่ปัจจุบันอาคารต่างๆ
ทรุดโทรมไปมาก
และเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพังเป็นส่วนใหญ่
ที่นี่เขามีบริการให้ใส่ชุดจักรพรรดิ
พระมเหสี
และพระสนมเพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกด้วย
ราคาค่ารูปพร้อมชุดเพียงคนละ
๕๐ บาทเท่านั้น
พวกเราหลายคนก็ได้ลองใช้บริการดู
ได้เต๊ะท่าถ่ายรูปเป็นที่สนุกสนาน
บางคนเดินขึ้นบัลลังก์ยังไม่ทันได้ถ่าย
ก็เกือบหกล้มตกบัลลังก์เพราะชุดยาวรุ่มร่าม
ก็เลยถูกเพื่อนฝูงลดยศหดตำแหน่ง
โดยแต่เดิมว่าจะให้เป็นฮองเฮา
ก็เหลือเพียงแค่เป็นพระราชโอรสเท่านั้น |
ในวันต่อมา
พวกเราก็ได้ลงเรือหัวมังกรที่มีสีสันฉูดฉาดสวยงามท่องไปตามลำน้ำหอม
หรือที่ชาวเวียดนามเรียก แม่น้ำเฮือง
ตลอดเส้นทางสองฟากฝั่ง
จะรู้สึกเย็นสบาย
เพราะสายลมที่พัดมาเอื่อยๆ
และทัศนียภาพที่มองดูสงบ
มีชาวบ้านออกมาจับปลาบ้างตามลำน้ำ |
|
หลังจากล่องผ่านสะพานประวัติศาสตร์สมัยสงครามที่กลางคืนจะติดแสงสีสลับไฟให้งดงาม
และผ่านพระราชวังที่ได้ไปเยี่ยมชมเมื่อเย็นวานแล้ว
พวกเราก็ขึ้นฝั่ง ณ
วัดเทียนมู่
หรือวัดเทพธิดาราม
แวะชมเจดีย์สูง ๗
ชั้นที่สวยงาม
และเก่าแก่ของวัด
ที่ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญของเวียดนาม |
|
|
เจดีย์ที่ว่านี้
แต่ละชั้นจะมีพระพุทธรูปทองคำประดิษฐานอยู่
แต่เรามองไปก็ไม่เห็น
ข้างๆ
เจดีย์จะมีระฆังทองแดงยักษ์หนักกว่า
๒ ตันตั้งอยู่
ส่วนอีกข้างจะมีแผ่นศิลาจารึกตั้งอยู่บนหลังเต่าหินที่มีขนาดใหญ่
และรอบๆ
จะมีตุ๊กตาหินแกะสลักอยู่ด้วย |
|
ที่สำคัญวัดนี้มีรถเก๋งประวัติศาสตร์ที่อดีตเจ้าอาวาสนาม
ทิด กว๋าง ดิ๊ก (Tich Quang
Duc)
ได้ขับรถออสติน หมายเลข DBA 559
ไปประท้วงประธานาธิบดีโง
ดิน เดียมห์
ที่บังคับให้ชาวบ้านนับถือศาสนาคริสต์
แทนศาสนาเดิม
โดยท่านได้เดินทางไปประท้วงที่เมืองไซง่อน
หรือโฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน
โดยได้จุดเผาตนเองเมื่อวันที่
๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๖ ปรากฏร่างกายของท่านเผาไหม้หมด
ยกเว้น หัวใจ ที่ไม่ไหม้ |
ผลที่สุดประธานาธิบดีโง
ดิน เดียมห์ต้องยอมแพ้
เลิกบังคับชาวบ้าน
ศิษย์ท่านได้นำศพ
และหัวใจของท่านกลับมาใส่ในสถูปทองคำ
ตั้งอยู่ด้านหลังวัดแห่งนี้
พร้อมทั้งเก็บรถประวัติศาสตร์คันดังกล่าว
ให้คนที่ไปเยี่ยมชมวัดได้เห็นถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของอดีตเจ้าอาวาสท่านนี้
จากวัดเทียนมู่
เราก็ได้เดินทางต่อไปยัง สุสานไคดิงห์
ซึ่งตั้งอยู่ในจุดที่มีภูมิทัศน์สวยงามถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย
และมีสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก
เนื่องจากอากาศที่ร้อนมาก
ทำให้พวกเราเดินชมที่นี่อย่างรวดเร็ว
จึงไม่ค่อยได้สังเกตเห็นอะไรมากนัก
นอกจากบริเวณที่สุดของสุสานบนเนินเขา
ไกด์บอกว่าเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์องค์ที่
๒
แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ตรงไหนแน่
|
จากเมืองเว้
พวกเราได้นั่งรถต่อไปยัง เมืองฮอยอัน
เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม แห่งที่สามที่เราจะไปในครั้งนี้
โดยเส้นทางไปสู่เมืองฮอยอัน
จะต้องผ่านเมืองดานังก่อน
โดยลอดผ่านอุโมงค์ที่ชื่อว่า
ไห่หวัน (Hai Van Tunnel)
ซึ่งแปลได้ว่า ทะเลเมฆ
ที่มีความยาวถึง
๖,๒๗๔ เมตร หรือ ๖
กิโลเมตรเศษ
เพิ่งเปิดใช้เมื่อไม่นานมานี้เอง |
|
อุโมงค์ดังกล่าวทำให้ย่นระยะทางไม่ต้องขับรถอ้อมเขาไปได้ถึง
๒๒ กิโลเมตร
แต่รถบรรทุกสัตว์และมอเตอร์ไซด์เขาห้ามเข้า
ภายในอุโมงค์ค่อนข้างกว้างขวาง
และหากมีเหตุฉุกเฉิน
เขาก็มีทางออกไปอุโมงค์สำรองอีกด้านด้วย
หากใครคิดจะกลั้นใจลอดผ่านอุโมงค์
เพื่ออธิษฐานขอให้สมปรารถนา
แบบลอดอุโมงค์หรือข้ามสะพานมหาชัยบ้านเราแล้วละก้อ
สงสัยได้สมหวังชาติหน้าแน่
เพราะอุโมงค์ยาวมาก
ลั้นใจก็ได้ตายกันพอดี |
เมืองฮอยอัน
เป็นเมืองท่าเก่าแก่อันลือชื่อ
และมีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยศตวรรษที่
๑๖-๑๗ โดยจะมีพ่อค้าชาวจีน
ญี่ปุ่น
และโปรตุเกสมาจอดเรือขนถ่าย
และแลกเปลี่ยนสินค้าที่นี่
จนราวศตวรรษที่ ๑๙
เมื่อปากแม่น้ำทูโบอันเป็นที่ตั้งเมืองแห่งนี้
เกิดตื้นเขิน
ทำให้การสัญจรทางน้ำไม่สะดวก
|
|
เมืองท่าดานังจึงถูกสร้างขึ้นมาแทนที่
ปัจจุบันเมืองฮอยอันยังคงอนุรักษ์อาคารบ้านเมือง
วัดวา อาราม แม่น้ำ
สะพานแบบเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี
จนทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนได้ย้อนยุคไปสู่สมัยโบราน
และทำให้เมืองนี้ได้รับสมญาว่า
พิพิธภัณฑ์มีชีวิต |
|
|
เมื่อไปถึงเมืองฮอยอัน
เป็นเวลาเย็นพอสมควร
ซึ่งที่จริงก็เป็นเวลาที่เหมาะอย่างยิ่งต่อการเดินเท้าเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมแห่งนี้
เพราะเมื่อข้ามสะพานญี่ปุ่น
อันเป็นสะพานโค้งมีหลังคามุงด้วยกระเบื้องที่ชุมชนญี่ปุ่นมาสร้างไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่
๑๗
และเป็นสัญลักษณ์เด่นอีกแห่งของเมืองนี้
|
แล้ว
เดินไปไปตามถนนสายเล็กๆ
ในเมืองฮอยอัน เราจะพบบ้านแบบญี่ปุ่น
แบบจีนโบราณสองชั้น
วัดวาอาราม ศาลเจ้า ฯลฯ
และบ้านเรือนที่สลักด้วยลวดลายไม้อันวิจิตรตามแบบศิลปะเวียดนาม
จีน ญี่ปุ่น
ที่ทำให้บ้านแต่ละหลังงามแปลกตาไปคนละแบบ
แต่ที่เหมือนกันคือ
หน้าบ้านทุกแห่งจะเป็นร้านขายของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว
ซึ่งมีอยู่อย่างหลากหลาย
ตั้งแต่ถ้วย ชาม เซรามิก
เครื่องเงิน เสื้อผ้า
ไม้แกะสลักต่างๆ ฯลฯ
|
|
และที่โดดเด่นคือ
ภาพศิลปะสมัยใหม่ของศิลปินรุ่นใหม่ที่วางขายในแกลลอรี่เล็กๆ
เป็นระยะๆ
แต่ที่น่าเสียดาย คือ
ตอนที่เราไป เป็นช่วงที่ฮอยอันกำลังขุดปรับปรุงถนนในเมือง
ทำให้ต้องคอยเดินหลบหลุม
และรถมอเตอร์ไซด์ที่ยังวิ่งเข้าออกอยู่ตลอดเวลา
กอปรกับฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย
ทำให้ฮอยอัน
เมืองโบราณในฝันของพวกเรา
กลายเป็นฝันสลายไปไม่น้อย |
ในวันที่ห้าของการเดินทาง
พวกเราได้ออกเดินทางจากฮอยอัน
เมืองเก่าที่หลายคนพยายามมองหาหอนาฬิกาที่หนุ่มยูริก
พระเอกในเรื่อง ฮอยอันฉันรักเธอ
เจอกับเฮืองมาย
นางเอกสาวชาวเวียดนาม
แต่เนื่องจากคุณทองสุข
ไกด์ท้องถิ่นที่นี่ของเรา
ไม่ได้ดูละครเรื่องนี้
ก็เลยตอบพวกเราไม่ถูกว่ามีหอนี้อยู่จริงหรือไม่
และอยู่ที่ไหน
พวกเราเลยต้องหยุดความอยากรู้อยากเห็นไว้
และนั่งรถกลับไปยังเมืองดานัง
เมืองท่าแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศเวียดนาม
โดยระหว่างทางคณะของเราก็ได้แวะที่
หมู่บ้านแกะสลักหินอ่อนนอนเนื๊อก
เพื่อเลือกซื้อของที่ระลึกกลับไปฝากญาติสนิทมิตรสหายทางบ้าน
ที่จริงเขาจะพาเราชมโรงงานแกะสลักหินที่มีฝีมือ
แต่เนื่องจากฝุ่นจากการแกะหินฟุ้งกระจายมาก
และราคาก็แพงสมกับฝีมือ
พวกเราจึงขอเปลี่ยนไปดู
ไปซื้อสินค้าแกะสลักหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ราคาสมกับกระเป๋าของเราแทน |
เมืองดานัง
นี้เรียกได้ว่าเป็นเมืองท่า
ที่เป็นศูนย์กลางการค้าและบริการที่เชื่อมโยงระหว่างเวียดนาม
ลาว
ไทยและพม่าที่มีศักยภาพมากในด้านคมนาคม
การขนส่ง และท่าเรือน้ำลึก
อีกทั้งมีสนามบินนานาชาติ
ที่ตั้งอยู่ห่างจากเว้
อันเป็นเมืองหลวงเก่าลงมาทางใต้เพียง
๑๐๐ กิโลเมตรเท่านั้น
และเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนตลอดปี
|
|
คุณทองสุขไกด์ที่เป็นคนเมืองดานัง
ดูจะภาคภูมิใจกับเมืองของตนมาก
เพราะผู้ว่าฯของเมืองนี้ที่มีชื่อว่า
ท่านเหงียน บาทัน
มาจากการเลือกตั้ง
เป็นผู้ว่าฯที่มีวิสัยทัศน์และบริหารงานเก่งมาก
เขาได้วางกฎเหล็กไว้ว่าที่เมืองดานังนี้จะต้องไม่มี
๕ อย่าง ต่อไปนี้ คือ
๑.ไม่มีขอทาน
๒.ไม่มีการวิ่งราว ๓.ไม่มีการพนัน
๔.ไม่มียาเสพติด และ ๕.ไม่มีโสเภณี
|
ซึ่งคุณทองสุขบอกว่า
ท่านผู้ว่าฯได้แถลงเป็นนโยบายและก็รณรงค์อย่างจริงจัง
จนได้ผลตามที่ท่านว่าไว้
และท่านก็ได้รับเลือกมาเป็นสมัยที่สองแล้ว
ที่นี่เราได้เห็นเรือจับปลาหมึกที่แปลกตามาก
คือเป็นกระออมขนาดใหญ่สานจากไม้ที่น่าจะเป็นไม้ไผ่
แล้วชันยาไว้
ชาวประมงจะนำติดไปกับเรือใหญ่
ไว้ลงทะเลจับปลาหมึก
กระออมใบหนึ่งจุคนได้ ๕-๖
คน
หรือหากใบใหญ่มากก็จุได้เป็น
๑๐ คน |
|
ที่เมืองนี้
เราได้แวะไปชม พิพิธภัณฑ์ชาวจาม
ที่ชาวฝรั่งเศสได้สร้างขึ้นเพื่อเก็บรวบรวมรูปแกะสลักหินโบราณของชาวจาม
ที่จัดเป็นแหล่งสะสมสมบัติที่ล้ำค่าแห่งหนึ่งของโลก
รูปแกะสลักหินที่เราเห็นในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ค่อนข้างจะสมบูรณ์มาก
ส่วนใหญ่เป็นรูปแกะสลักของเทพเจ้า
และเทพมารดาในศาสนาฮินดู
เช่น พระศิวะ พระนารายณ์
พระอุมา พระลักษมี และพระพิฆเนศร์
เป็นต้น |
ที่ข้างพิพิธภัณฑ์จะมีร้านขายของที่ระลึกเป็นผ้าปัก
ซึ่งเป็นงานฝีมือที่ประณีตอีกอย่างของชาวเวียดนาม
เขาปักเป็นรูปประมุข
และผู้นำหลายประเทศ
รวมทั้งมีภาพปักรูป ในหลวงของเราด้วย |
|