มัสยิดบางอ้อ |
บ้านขุนด่ำ |
วังบางขุนพรหม |
บ้านบางยี่ขัน |
บ้านหวั่งหลี |
แบงก์สยามกัมมาจล |
สถานทูตโปรตุเกส |
ศุลกสถาน |
|
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
แลนด์ แอนด์
เฮาส์ถือโอกาสพาลูกค้าระดับโลว์โปรไฟล์
ไฮโปรฟิต ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา
พาชมทัศนียภาพสถาปัตยกรรมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นแรงบันดาลใจก่อให้เกิดโครงการบ้านริมน้ำ
ลดาวัลย์
ซึ่งโครงการดังกล่าวได้นำรูปแบบเรือนคหบดีย่านถนนเจริญกรุง
และสาทรมาประยุกต์ใช้กับบ้านในปัจจุบัน
อาทิ หลังคาทรงมะนิลา
งานปูนปั้นประดับตามกรอบหน้าต่าง
รวมถึงราวระเบียงโดยรอบแบบระเบียงไม้
เป็นต้น
เมื่อแดดลมลมตกถือเป็นสัญญานของการเริ่มต้นล่องเจ้าพระยา
ทริปนี้มีจุดนำชม 11 จุด
ซึ่งล้วนแต่เป็นสถาปัตยกรรมที่มีอดีตยาวนาน
และถือเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญทางประวัติศาสตร์ก็ว่าได้
มาเริ่มกันที่ มัสยิดบางอ้อ
อาคารชั้นเดียวที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก
โดดเด่นตรงเรือนไม้สักที่ฉลุลวดลายประณีตเรียกว่า
เรือนขนมปัง
ซึ่งความละเอียดของลายยังบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าบ้านอีกด้วย
ต่อมาเป็น บ้านขุนด่ำ
หรือที่ผู้เฒ่าผู้แก่เรียกว่า
บ้านเขียวมีขุนโยธาสมุทร
(อาดัมหรือต่ำ โยธาสมุทร)
เป็นเจ้าของบ้าน
เดิมทีบริเวณหน้าบ้านทั้งซ้ายขวามีบันไดขึ้นชั้นบนโดดเด่นด้วยลายฉลุแบบขนมปังขิง
บ่งบอกถึงความเชื่อตามยุคสมัยของคนโบราณที่ไม่นิยมสร้างบันไดไว้ในบ้านเนื่องจากถือเป็นอัปมงคล
แต่ภายหลังได้ย้ายบันไดดังกล่าวไปประดับไว้ภายในบ้าน
จากนั้นเป็น วังบางขุนพรหม
อาคารที่ก่อสร้างแบบผสมผสานระหว่างเรอแนสซองส์
กับ บาโรก
ส่วนลวดลายประดับเป็นแบบโรโคโค
ออกแบบโดย ดร. คาร์ล ซิกฟรีด
เดอริง
สถาปนิกชาวเยอรมันผู้ออกแบบพระราชวังบ้านปืน
จ.เพชรบุรี
ก่อนที่จะกลายเป็นที่ทำการของธนาคารแห่งประเทศไทยดังเช่นปัจจุบัน
ในอดีตวังแห่งนี้เคยเป็นที่ทำการสถานีโทรทัศน์ช่อง
4 หรือช่อง 9 อ.ส.ม.ท. นั่นเอง
บ้านบางยี่ขัน
เป็นอาคารหลังต่อมาโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลซึ่งเป็นที่นิยมในช่วงปลายรัชกาลที่
5 ต่อต้นรัชกาลที โดยมีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์อาทิเช่น
ตัวตึกเป็นคอนกรีต 2
ชั้นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนานกับแม่น้ำ
ชั้นล่างทำเป็นช่องซุ้มโค้งแบบตะวันตกหลายช่อง
ส่วนช่องลมประดับกระจกสีเป็นแฉกรัศมีพระอาทิตย์ครึ่งดวง
เป็นต้น
เดิมทีเป็นบ้านของอำมาตย์เอกพระยาชลภูมิพานิช
(ไคตั๊ค)
ขุนนางไทยเชื้อสายจีนส่วนภรรยาเป็นอดีตข้าหลวงของพระพันปีหลวงในรัชกาลที่
5
พักใหญ่จึงมาถึง บ้านหวั่งหลี
เดิมทีเป็นท่าเรือกลไฟ
หรือ ฮวยจุ่งโล้งของพระยาพิศาลศุภผล
(ชื่น)
ต้นตระกูลพิศาลบุตร
ก่อนขายให้แก่นายตันลิบบ๊วย
แห่งตระกูลหวั่งหลี
ตัวอาคารสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมจีน
ประกอบด้วยอาคารสำคัญสามหลังโดยมีตึกตรงกลางเป็นเรือนประธานหันหน้าออกแม่น้ำ
คือ ศาลเจ้าแม่หมาโจ้ว
มีตึกแถวสองชั้น
เพดานสูงทำหลังคาแบบจีนสร้างขนาบ
2 ข้าง
ส่วนเนื้อที่ตรงกลางเป็นลานโล่งแจ้ง
ปัจจุบันใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมของตระกูลในวันสำคัญตามประเพณีจีน
ต่อด้วยสถาบันการเงินแห่งแรกของไทย
แบงก์สยามกัมมาจล
หรือธนาคารไทยพาณิชย์
สาขาตลาดน้อยในปัจจุบัน
เป็นอาคารแบบบาโรกอิตาเลียนที่งดงามและสมบูรณ์แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ
ถัดมาเป็นสถานฑูตของชาติตะวันตกที่เก่าแก่สุดในกรุงเทพฯ
สำหรับ สถานทูตโปรตุเกส
ที่ยังคงความสวยงามอันสมบูรณ์มาจนถึงทุกวันนี้
มิช้านานจึงมาถึง ศุลกสถาน
หรือโรงภาษี
ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นศุลกสถานที่งดงามแห่งหนึ่งโดยมีนายช่างชาวอิตาเลียนเป็นผู้ออกแบบ
สมัยก่อนชาวบ้านมักเรียกว่า
โรงภาษีร้อยชักสามเป็นด่านศุลกากรที่พ่อค้าชาวต่างชาติต้องเข้ามาติดต่อถือเป็นปากประตูสุดแดนพระนคร
ปัจจุบันเป็นสถานีดับเพลิงบางรัก
และสถานีตำรวจน้ำบางรัก
เรื่อยมาถึง สถานทูตฝรั่งเศส
อาคารนี้สันนิษฐานว่าสร้างโดยช่างชาวอิตาเลียน
ตัวอาคารยกพื้นล่างไม่สูงมากมีระเบียงด้านหน้า
อุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างล้วนได้รับอิทธิพลจากอิตาลี
"บมจ.อีสต์เอเชียติค"
เริ่มดำเนินกิจการสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของไทย
พร้อมนำสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาค้าขายด้วย
เดิมสำนักงานตั้งอยู่ข้างโรงแรมโอเรียนเต็ล
เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล
ลักษณะเด่น คือ
กรอบประตูหน้าต่างเป็นซุ้มโค้ง
ผนังเหนือกรอบประตูหน้าต่าง
ประดับด้วยปูนปั้นปัจจุบันอาคารหลังนี้ปิดทิ้งไว้
เพราะย้ายสำนักงานไปย่านคลองเตย
ทริปนี้เรียกได้ว่าหวังสร้างความภาคภูมิใจให้กับลูกบ้าน
เพราะแรงบันดาลใจในโครงการนี้ขึ้นชื่อว่ารวมผลงานสถาปัตยกรรมย้อนยุคจากริมเจ้าพระยามาไว้
ทำเอาบรรดาลูกบ้านหลายท่าน
ยิ้มแก้มปริ หัวใจพองโต
สุดแสนปลื้มใจเป็นทิวแถวทีเดียว!! |