กลับเป็นเด็กที่ พิพิธภณฑ์เด็ก

กลับเป็นเด็กที่ พิพิธภณฑ์เด็ก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กลับเป็นเด็กที่ พิพิธภัณฑ์เด็ก
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 มกราคม 2548 15:50 น.
                บางครั้งคนบ้านนอกอย่างฉันเคยสงสัยว่า เด็กในเมืองกรุงเขาเรียนรู้เรื่องราวธรรมชาติรอบตัวได้ยังไง เพราะบ้านเขาเต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นจนบดบังธรรมชาติแบบที่ฉันเคยสัมผัสเมื่อตอนอยู่ชนบทไปเกือบหมด                จนวันหนึ่งมีโอกาสไปช้อปปิ้งที่สวนจตุจักรก็กลับเจอคำตอบที่ไม่คาดฝันขึ้น                ความจริงวันนั้นฉันมุ่งไปซื้อของเป็นหลัก แต่ว่าเกิดไปสะดุดตากับป้าย พิพิธภัณฑ์เด็ก ที่ชี้ไปหลังสวนจตุจักรเข้า ฉันก็เลยตั้งใจตามไปดูให้เห็นเป็นบุญตาคนบ้านนอกสักหน่อย หลังจากมั่วถามทางสักพัก ก็ถึงตึกรูปร่างพิลึกดูคล้ายยานอวกาศชอบกลตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนที่มีดอกไม้และพืชที่เป็นมงคลของทุกจังหวัดทั่วไทยปลูกเอาไว้ ด้านหน้ามีป้ายเขียนเอาไว้ว่า พิพิธภัณฑ์เด็ก กรุงเทพมหานคร                ฉันย้อนไปนึกถึงภาพพิพิธภัณฑ์สมัยเรียน ที่เต็มไปด้วยโบราณวัตถุ ของเก่าเก็บ เอ...แล้วพิพิธภัณฑ์เด็กละ เขาจะเก็บของโบราณเกี่ยวกับเด็กเอาไว้หรืออย่างไร???
ฟองสบู่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเด็กๆ เพราะสูงล้อมรอบตัวถุงถึง 150 ซม. ซึ่งแสดงความตึงผิวของน้ำได้แบบเด็กๆ ไม่ต้องจินตนาการมากมาย
       พอเด็กโข่งอย่างฉันเสียค่าบำรุงสถานที่เดินเข้าไปก็พบว่า นี่ไม่ใช่แค่พิพิธภัณฑ์ธรรมดา เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้เราลงมือทำด้วยตนเอง ในกลวิธีที่ฝรั่งเรียกกันโก้ๆ ว่า Edutainment ทันสมัยขนาดไหนก็เล่นเอาคนอย่างฉันปลื้มเพราะเห็นฝรั่งพาลูกมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่บริหารโดยคนไทยละนะ                ตั้งแต่อาคารแรกที่เดินเข้าไป ชั้นหนึ่งเป็นส่วนที่สอนเกี่ยวกับ ชีวิตของเรา มีทั้งห้องกำเนิดชีวิตที่จำลองตัวอสุจิเลเซอร์วิ่งเข้าไปในห้องไข่ของแม่ ที่มีการจำลองที่นั่งภายในครรภ์เอาไว้ให้เด็กๆ ได้กลับคืนสู่ท้องแม่อีกครั้ง เรียนรู้อวัยวะสำคัญโดยเปิดประตูเลื่อนที่ฉันแทบหงายหลังเพราะเจอโครงกระดูกยืนยิ้มเผล่ (ภายหลังมารู้ว่านั่นคือ เครื่องเอ็กซเรย์วิเศษ) เรียนรู้สมองมนุษย์จากภาพจำลอง 6 มิติผ่านการกดปุ่มสนุกๆ 2-3 ปุ่มที่จะให้ทั้งเสียงและภาพออกมา                ถัดมาเป็นภาควิทยาศาสตร์ ฉันได้ทดลองเล่น ท่อลมส่งจดหมาย สร้างความเข้าใจเรื่องพลังลม และทดสอบความตึงผิวของน้ำที่ทางพิพิธภัณฑ์ทำจำลองออกมาในรูปของฟองสบู่ เด็กหลายคนเข้าไปเล่นหลายรอบ เพราะติดใจฟองสบู่ขนาด 150 ซม. ที่ถูกดึงขึ้นมาห่อตัวเขาด้วยคุณสมบัติความตึงของตัวมันเองอย่างน่าพิศวง ส่วนนี้นี้ยังมีการสาธิตทางวิทยาศาสตร์ให้เราสัมผัสและทดลองอีกมากมาย
ฟาร์มหรรษาในเมืองสายรุ้ง ซึ่งถูกจัดเอาไว้ให้เด็กก่อนวัยเรียนสนุกสนานในบรรยากาศสบายๆ
       ชั้นสอง ฉันพบบรรยากาศที่คุ้นเคยของชนบท ไม่ว่าเครื่องแต่งกาย ภาษาทั่วโลก และภาษาถิ่นสำคัญที่มีให้ฟังผ่านหูฟังแสดงถึงความหลากหลายของคนพื้นถิ่นไทยให้เราได้เรียนรู้อย่างไม่เบื่อหน่าย บนนี้ยังมีการจำลองโบกี้รถไฟไทยโบราณไว้ด้วย แต่เอ...สมัยนี้ตู้รถไฟที่เรานั่งก็ไม่ต่างจากสมัยก่อนเลย                ชั้นนี้ยังมีลานบ้านลานวัดและครัวน้องน้อย ให้เด็กๆ รู้จัก การเดินกะลา และสวมบท พ่อครัวแม่ครัวตัวจิ๋ว ถัดไปชั้น 3 มีความสนุกสนานของเทคโนโลยี โดยสอนเกี่ยวกับที่มาของไฟฟ้า การทำงานของรถยนต์ การขับขี่ให้ปลอดภัยผ่านสื่อสนุกๆ ไม่น่าเบื่อ สุดท้ายฉันยังแอบไปเป็นดีเจในสถานีจำลองกับเขาด้วย                เที่ยวอาคารแรกไม่หนำใจไปต่อที่อาคารสอง มีการแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และความรู้เรื่องพืชพันธุ์ไม้ในอาคารที่โปร่งและสวยงาม ก่อนนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเมื่อเข้าสู่ เมืองสายรุ้ง ที่มีของเล่นไว้ในห้องแอร์เย็นๆ ใน ลานนิ่มน้องน้อย พร้อมกับเสียงไก่ขันและกองฟางที่เขาไปอัดมาจากบ้านนอก เล่นเอาเด็กโข่งอย่างเราแอบนอนกลิ้งบนพื้นนิ่มๆ ไปหลายตลบ
ตักทราย กิจกรรมยอดฮิตของเด็กๆ ที่ลานสันทนาการ
       หรือคุณหนูคนไหนอยากสวมบททันตแพทย์ที่เมืองนี่มี คลินิกฟ้าใส ให้เป็นพยาบาลและคุณหมอทำฟันกันอย่างสนุกสนาน ตรงข้ามคลินิก ฉันเห็นอาเสี่ยน้อยๆ หลายคนนั่งอยู่ที่ร้านตะวันยิ้มมินิมาร์ทที่มีของขายมากมาย ไม่แน่ อีกหน่อยร้านเซเว่นหรือแฟมิลี่มาร์ทอาจจะชิดซ้ายก็ได้เมื่อพวกเขาเหล่านี้โตขึ้น                และใครมาที่นี่ก็ไม่น่าพลาดอาคาร 3 ที่จัดแสดงเรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งชีวิตบรรดาสัตว์อย่างกิ้งก่า ปลวก และแสดงกิจกรรมเกี่ยวกับวัฏจักรของน้ำ สร้างจิตสำนึกให้คนใช้น้ำอย่างรู้ค่า                ตอนนี้บรรดาคุณหนูก็วิ่งออกไปยังลานสันทนาการที่มีเครื่องเล่นอย่างพีระมิดตาข่าย ฝึกทักษะการทรงตัวและการใช้อวัยวะ หรือ มุมนักขุดที่ให้ออกแรงขุดทรายโดยใช้ประสาทการทำงานของแขนอย่างสัมพันธ์กัน ที่นี่มีทั้งคนไทยและเทศมาหนาตาในวันหยุด น่าดีใจที่พ่อแม่พาลูกๆ มาเล่นกันในวันหยุดที่นี่ ฉันว่ามันเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการเดินห้างสรรพสินค้าและได้อะไรกลับไปมากกว่าการจ่ายเงินฟุ่มเฟือยเสียอีก
หนูน้อยกับของเล่นชิ้นโปรดที่เล่นได้ไม่รู้เบื่อ
       ฉันอยากให้พิพิธภัณฑ์ในเมืองไทยจัดกิจกรรมแบบนี้มากกว่าการจัดแสดงของธรรมดาที่ทำให้คนดูเบื่อหน่าย ฉันเพิ่งตระหนัก ว่าการลงมือนั้นเป็นความเพลิดเพลินและการเรียนรู้แบบซึมลึกยิ่งกว่าอ่านหนังสือ                พิพิธภัณฑ์เด็ก นี่ถ้าฉันนั่งไทม์แมชชีนกลับเป็นเด็กได้คงจะมาเที่ยวแทบทุกอาทิตย์แน่ๆเลย                  พิพิธภัณฑ์เด็กจะมีงานวันเด็กในวันที่ 8-9 มกราคม 2548 โดยเปิดให้คุณหนูเข้าฟรีในงาน Kids Power Boom โดยพบกับกิจกรรมต่างๆ มากมายที่เรียกว่าไม่ซ้ำแบบงานที่ไหน สนใจสอบถามได้ที่ 0-2615-7333 หรือ www.bkkchildrenmuseum.com วันเด็กนี้อย่าลืมพาเจ้าตัวน้อยไปเที่ยวกันนะ...                  การเดินทางสู่พิพิธภัณฑ์เด็ก        

content by ติดตามอ่านข่าวทั้งหมดได้ ที่นี่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook