รู้จัก 8 ประเภท ชาเขียว ญี่ปุ่น มีอะไรบ้าง รสชาติต่างกันไหม
.jpg?ip/crop/w1200h700/q80/jpg)
ช่วงนี้ชาเขียวกลายเป็นเมนูยอดนิยม ทั้งในรูปแบบเครื่องดื่มและขนม แต่รู้หรือไม่ นอกจากความอร่อยแล้ว ชาเขียวยังมีประโยชน์มากมาย เช่น ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเผาผลาญ ควบคุมน้ำหนัก และลดความเสี่ยงโรคหัวใจ วันนี้เราจะพามารู้จัก 8 ประเภทของชาเขียวญี่ปุ่น มีอะไรบ้าง รสชาติแต่ละชาต่างกันไหม และเอกลักษณ์เฉพาะตัว มาดูกัน
8 ประเภทของชาเขียวญี่ปุ่น
1. เซนฉะ (Sencha)
ชาเซนฉะเป็นชาเขียวที่ได้รับความนิยมและบริโภคมากที่สุดในญี่ปุ่น ผลิตโดยวิธีการทั่วไปคือการนำใบชาไปนึ่งแล้วม้วนให้เป็นเส้น ทำให้ได้รสชาติสดชื่น หอมละมุน และมีความฝาดอ่อน ๆ
2. ฟุคามุชิ เซนฉะ (Fukamushi Sencha)
ชาเซนฉะที่ผ่านการนึ่งนานกว่าปกติประมาณสองเท่า จึงเรียกว่า "ฟุคามุชิ" ซึ่งหมายถึง "การนึ่งเป็นเวลานาน" ใบชาจะมีเนื้อที่ละเอียดขึ้น ชามีสีเขียวเข้ม รสชาติเข้มข้นขึ้นแต่ไม่มีรสฝาดหรือกลิ่นหญ้า ทำให้สามารถดูดซึมสารอาหารจากชาได้ดีขึ้น
3. เกียวคุโระ (Gyokuro)
ชาเขียวชั้นสูงที่ต้องมีการคลุมต้นชาก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 20 วัน เพื่อป้องกันแสงแดดและลดการเปลี่ยนแปลงของอะมิโนแอซิดเป็นคาเทชิน ทำให้ชาเกียวคุโระมีรสชาติหวานนุ่ม ไม่มีความฝาด และมีกลิ่นหอมคล้ายสาหร่ายทะเล
4. คาบุเซฉะ (Kabusecha)
ชาเขียวที่ใช้วิธีคลุมต้นชาก่อนเก็บเกี่ยวเช่นเดียวกับเกียวคุโระ แต่ใช้เวลาสั้นกว่าเพียงประมาณ 1 สัปดาห์ ส่งผลให้มีสีเขียวเข้ม รสชาติเข้มข้น และมีความฝาดต่ำกว่าชาเซนฉะ
5. มัทฉะ (Matcha)
มัทฉะเป็นชาเขียวบดละเอียดที่ได้จาก "เทนฉะ" ซึ่งนำไปบดด้วยหินจนเป็นผงละเอียด มัทฉะแบบเข้มข้น (Koicha) ถูกใช้ในพิธีชงชาแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นส่วนผสมหลักในขนมและอาหารต่าง ๆ อีกด้วย จุดเด่นของมัทฉะคือการดื่มแล้วได้รับสารอาหารจากใบชาแบบเต็ม ๆ
6. เทนฉะ (Tencha)
ชาเทนฉะเป็นชาที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตมัทฉะ โดยต้นชาจะถูกคลุมก่อนเก็บเกี่ยวคล้ายกับเกียวคุโระ แต่หลังจากการนึ่ง ใบชาจะถูกทำให้แห้งโดยไม่ผ่านการม้วน จากนั้นนำไปคัดแยกก้านและเส้นใบออกจนเหลือเป็นชิ้นใบบริสุทธิ์
7. เก็นไมฉะ (Genmaicha)
ชาเก็นไมฉะเป็นชาเขียวที่ผสมกับข้าวกล้องคั่ว ซึ่งทำให้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์จากความหอมของข้าวคั่วและความสดชื่นของชาเซนฉะ คาเฟอีนต่ำ เหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ
8. โฮจิฉะ (Hojicha)
ชาโฮจิฉะได้จากการนำชาเซนฉะหรือชาชนิดอื่น ๆ มาคั่วในอุณหภูมิประมาณ 200°C ทำให้มีสีแดงน้ำตาลและมีกลิ่นหอมไหม้อ่อน ๆ คาเฟอีนลดลง ทำให้เป็นชาที่ดื่มง่ายเหมาะกับทุกเพศทุกวัย
ชาเขียวแต่ละชนิดมีเอกลักษณ์และรสชาติที่แตกต่างกัน เลือกชาที่ถูกใจ แล้วดื่มด่ำกับเสน่ห์ของชาเขียวญี่ปุ่นกันได้เลย