ไปญี่ปุ่น 4 วัน ชมแดนขุมทรัพย์อันลึกลับ โทโฮคุ

ไปญี่ปุ่น 4 วัน ชมแดนขุมทรัพย์อันลึกลับ โทโฮคุ

ไปญี่ปุ่น 4 วัน ชมแดนขุมทรัพย์อันลึกลับ โทโฮคุ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นอย่างโทโฮคุ ครั้งหนึ่งเคยถูกเข้าใจว่าเป็นดินแดนห่างไกลที่เดินทางเข้าถึงยาก แต่ทุกวันนี้ รถไฟสายโทโฮคุชินคังเซ็นและการเดินทางรูปแบบอื่น ทำให้เราสามารถสำรวจโทโฮคุได้ง่ายยิ่งกว่าเดิม โดยโทโฮคุนั้นมีทั้งวัฒนธรรมอันโดดเด่น ย่านประวัติศาสตร์ที่คนไม่พลุกพล่าน และทิวทัศน์ทางธรรมชาติอันน่าทึ่ง

เพื่อค้นหาสิ่งที่ภูมิภาคอันน่าทึ่งนี้มี เราได้เดินทางทริปสั้นๆ ไปยังสามจังหวัดจากหกจังหวัดในโทโฮคุ นั่นคือฟุคุชิมะ ยามากาตะ และอะคิตะ

วันที่ 1

โออุจิจุคุ (Ouchijuku)

หลังออกเดินทางจากสถานีรถไฟโตเกียว รถไฟโทโฮคุชินคังเซ็นก็เร่งความเร็วไปยังสถานีชิน-ชิราคาวะ (Shin-Shirakawa Station) ที่จังหวัดฟุคุชิมะในเวลาเพียง 90 นาที จากจุดนี้ ฉันนั่งรถไปเยี่ยมชมเมืองเก่า โออุจิจุคุ (Ouchijuku) อันสวยงามของฟุคุชิมะ เดินเล่นบนถนนที่ห้อมล้อมด้วยอาคารไม้แบบโบราณเต็มสองฝั่ง จนรู้สึกเหมือนเป็นนักเดินทางยุคโบราณของญี่ปุ่นได้เลย

ร้านอาหารก็มีอะไรแปลก ๆ เหมือนกัน ดูเหมือนลูกค้ากำลังคีบเส้นโซบะด้วยต้นหอมญี่ปุ่นต้นยาวแทนตะเกียบ นี่เป็นอาหารท้องถิ่นที่เรียกว่า ทาคาโตะ-โซบะ เราได้สั่งมาทานชามหนึ่ง ที่ร้าน มิซาวะยะ (Misawaya) แล้วลองทำตามคนที่อยู่แถวนั้น เส้นโซบะไหลหลุดไปหลายครั้ง แต่พอลองหลายๆ ครั้ง ก็เริ่มคีบได้ ง่ายกว่าเรียนรู้วิธีใช้ตะเกียบที่ถูกต้องเสียอีก แล้วยังอิ่มอร่อยอีกด้วย

ติดตามเกร็ดความรู้ต่อได้ที่ 

http://ouchi-juku.com/ (ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)

http://www.misawaya.jp/ (ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)

สะพานข้ามแม่น้ำทาดามิ หมายเลข 1

ขณะที่เราขับผ่านส่วนที่เต็มไปด้วยภูเขาของฟุคุชิมะส่วนในที่เรียกว่า โอคุ-ไอซุ (Oku-Aizu) ทิวทัศน์ของป่าหนา ผาสูงชัน และภูเขาหลายลูกสุดตาที่มีหิมะโปรยนั้นน่าทึ่งเกินกว่าจะพลาดได้ และต้องขอบคุณฝนปรอยก่อ

วันเดินทางที่ทำให้เราเห็นปรากฎการณ์ “ทะเลหมอก” ที่หมอกจะปกคลุมหุบเขาทั่วเหมือนขนมสายไหมสีขาว

แต่ไฮไลท์จริง ๆ ของการขับรถเที่ยวนี้คือการแวะหยุดชม สะพานข้ามแม่น้ำทาดามิหมายเลข 1 (No.1 Tadami River Bridge) อันสวยงาม มีจุดชมวิวหลายจุด เพียงเดินสั้น ๆ จากจุดพักรถ มิจิ-โนะ-เอกิ มิชิมะจูกุ (Michi-no-eki Mishimajuku) ที่สามารถชมสะพานรถไฟโค้งนี้ ภาพของสะพานจะสะท้อนบนผิวน้ำใสกระจ่างดังกระจกเงาของแม่น้ำทาดามิที่อยู่ด้านล่าง หากมาถูกเวลาคุณก็ยังจะได้เห็นรถไฟสาย JR Tadami สีเขียว-ขาวขับข้ามสะพานด้วย

ติดตามเกร็ดความรู้ต่อได้ที่ 

https://www.michi-no-eki.jp/stations/view/243 (ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)

ชิมขนมอะวะ-มันจู  

ขับรถไปไกลอีกหน่อยก็เป็นเมืองยาไนซุ (Yanaizu) เมืองที่ตั้งอยู่รอบวัดฟุคุมัง โคคุโซ โบซัตสึ เอ็นโซจิ (Fukuman Kokuzo Bosatsu Enzoji Temple) อายุ 1,200 ปี โดยอาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อของที่นี่คือขนม อะวะ-มันจู ขนมท้องถิ่นทำจากข้าวสีเหลืองนำมานึ่ง และสอดไส้ถั่วแดงบด

มีร้านขาย อะวะ-มันจู อยู่ไม่น้อยในเมือง เราไปที่หนึ่งในร้านที่เก่าที่สุด ร้านขนมโคอิเคะ (Koike Confectionary Shop) ที่จำง่ายจากไอน้ำที่พวยพุ่งออกมาจากท่อในกำแพง เนื่องจากอีกนานกว่าจะถึงมื้อเย็นพวกเราเลยกิน อะวะ-มันจู รองท้อง ลูกแรกไม่พอ จึงต้องมีลูกที่สอง สัมผัสได้ถึงแป้งที่ฟูนุ่ม และไส้ถั่วแดงบดรสหวานอ่อน ๆ

ติดตามข้อมูลต่อได้ที่ 

http://koike-manjyu.com/index.html (ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)

ศาลเจ้าชินกุ คุมาโนะ

ก่อนออกจากโอคุ-ไอซุ เราได้แวะอีกสถานที่หนึ่งนั่นก็คือ ศาลเจ้าชินกุ คุมาโนะ (Shingu Kumano Shrine) ศาลเจ้าชินโตอันเก่าแก่นี้เป็นที่เก็บสมบัติสองชิ้น ชิ้นหนึ่งมนุษย์สร้าง อีกชิ้นธรรมชาติสร้าง เดินขึ้นไปตามทางที่มีต้นไม้เรียงรายก็จะมีสิ่งที่สะดุดตาอย่างนึง นั่นคือนากาโตโกะ หรือลานพิธีกรรมขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1055 และเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศอีกด้วย

ที่ตั้งอยู่ข้างกันคือต้นแปะก๊วยขนาดใหญ่ที่มีอายุประมาณ 800 ปี ทุกเดือนพฤศจิกายน ใบไม้สีเหลืองจะร่วงโปรยลงมา พื้นดินจะกลายเป็นสีเหลืองทอง แม้ว่าเราจะมาถึงช้าในตอนบ่ายและเป็นวันที่มีเมฆมาก แต่ความงามของสองสิ่งนี้ก็ยังคงน่าประทับใจ ถ้ามาในวันที่ฟ้าใสและอากาศดี ภาพจะต้องออกมาสุดยอดมากๆ แน่นอน

วันที่ 2

บึงห้าสี โกชิคินุมะ

คืนที่ผ่านมาได้พักค้างคืนในเขตอุระบันได ใช้เวลาขับสั้น ๆ ในตอนเช้าเพื่อเที่ยวชมกลุ่มบึงที่เรียกรวมกันว่า โกชิคินุมะ (Goshikinuma) หรือบึงห้าสี ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติบันได-อาซาฮิ (Bandai-Asahi National Park) บึงเหล่านี้ก่อตัวขึ้นหลังการปะทุของภูเขาบันไดในปี ค.ศ. 1887

สารภูเขาไฟเช่นอัลโลเฟนได้ไหลมาอยู่ในบึง ย้อมน้ำเป็นสีต่าง ๆ จากสีแดงสนิมจนถึงสีเขียวมรกต ซึ่งเปลี่ยนสีตามปัจจัยต่างๆ เช่นสภาพอากาศและช่วงเวลาของวัน และเมื่อเราเดินสั้นๆ จากอาคารบุสซังคัง (ร้านขายของฝากและสินค้าท้องถิ่น) เราก็จะได้เห็นอาโอนุมะ (แปลตรงตัวว่า “บึงสีฟ้า”) และก็ตรงตามชื่อ แสงอาทิตย์ยามเช้าเผยสีฟ้าครามสดใสของท้องน้ำออกมาให้เห็นจริงๆ

ติดตามเกร็ดความรู้ต่อได้ที่ 

https://www.urabandai-inf.com/en/?page_id=141 (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)

เนื้อวัวยามากาตะที่ซาโกโร

ใช้เวลาเดินเพียงห้านาทีจากสถานียามากาตะ (Yamagata Station) สถานีสำคัญของจังหวัดยามากาตะ ก็จะได้พบกับร้านที่เชี่ยวชาญด้านเนื้อ ซาโกโร (Sagoro) ที่เปิดขายอาหารประเภทเนื้อให้ลูกค้าผู้ตามหาเนื้อเกรดพรีเมียมมาตั้งแต่ปี 1910 กล่าวกันว่าหน้าร้อนที่ร้อนมากและหน้าหนาวอันหนาวเหน็บของยามากาตะ ทำให้วัวเนื้อมีเนื้อชั้นดีที่มีไขมันแทรกละเอียด ทำให้เนื้อยามากาตะเป็นหนึ่งในแบรนด์เนื้อวากิวชั้นนำของญี่ปุ่น

หลังขับรถจากฟุคุชิมะเข้ามายังยามากาตะ กระเพาะของเราก็พร้อมแล้ว ที่จะมาพิสูจน์คุณภาพของเนื้อร้านนี้ ด้วยเมนูหม้อไฟเนื้อสไตล์สุกี้ยากี้ของซาโกโร พนักงานเสิร์ฟเริ่มปรุงเนื้อลายหินอ่อนหั่นบาง ใส่วุ้นเส้น เต้าหู้ และผักหลายอย่าง เช่น ต้นหอม และเห็ดเข็มทอง และเห็ดชิตาเกะ เนื้อนุ่มและชุ่มฉ่ำนั้นอร่อยสมชื่อจริงๆ และนอกจากหม้อไฟแล้ว ซาโกโรยังมีเมนูอื่นๆ เช่นชาบูชาบู สเต็ก และแฮมเบิร์กอีกด้วย

ติดตามข้อมูลต่อได้ที่

https://www.sagoro.jp/ (ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)

วัดยามาเดระ และ โบราณสถานทารุมิซุ อิเซกิ

ด้วยสิ่งก่อสร้างทำจากไม้สวยงามตั้งยื่นออกมาจากหน้าผาสูงชันเกือบทั้งหมด วัดแห่งนี้มีชื่อว่า วัดภูเขา หรือ ยามาเดระ (Yamadera) หรือ วัดริชชะกุจิ (Risshakuji Temple) ตามที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการ เป็นหนึ่งในสถานที่ประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโทโฮคุ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 860 โดยผู้มาเยือนจะต้องปีนบันได 1,015 ขั้นเพื่อไปถึง โอคุโนอิน ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจของวัดแห่งนี้ โดยรางวัลของการเดินขึ้นมาก็คือทิวทัศน์อันสวยงามของหุบเขาด้านล่าง

ซ่อนอยู่ในป่าทางด้านขวาของยามาเดระคือโบราณสถานที่คนไม่ค่อยรู้จัก เรียกว่า ทารุมิซุ อิเซกิ (Tarumizu Iseki) ที่ดูเหมือนสถานที่ที่หลุดออกมาจากภาพยนตร์ Indiana Jones กลุ่มถ้ำและห้องแคบที่อยู่ในรูริมผาเป็นเครื่องหมายบอกว่าที่นี่เคยเป็นสถานที่สำหรับฝึกตนของนักพรต เชื่อว่าน่าจะใช้มาก่อนจะก่อตั้งเป็นวัดยามาเดระเสียอีก และก็ยังใช้เป็นที่ฝึกตนกันมานานจนถึงต้นยุค 1900

ในส่วนหนึ่งของถ้ำ มีบันไดที่ถูกแกะสลักลงบนหินผา ซึ่งขึ้นไปสู่ประตูโทริอิไม้เล็ก ๆ หน้าถ้ำใหญ่ ขณะในที่อีกจุด พระพุทธรูปมองลงมาจากกำแพงหน้าผา ให้เบาะแสถึงพิธีกรรมทางศาสนาที่เกิดขึ้นที่นี่

ติดตามเกร็ดความรู้ต่อได้ที่

https://www.rissyakuji.jp/ (ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)

เรียนรู้วิชาดาบ อิไอโด

เมืองมุรายามะของจังหวัดยามากาตะเป็นบ้านของผู้คิดค้น อิไอ หรือศิลปะการใช้ดาบของญี่ปุ่น ขณะที่รากฐานของวิชานี้จะเกี่ยวกับหลักปรัชญาและการพัฒนาตนมากกว่าการต่อสู้จริง แต่ อิไอโด ก็ยังเน้นสอนในเรื่องความตื่นตัว โดยสอนผู้ฝึกให้สามารถชักดาบออกมาจากฝักและฟาดฟันได้อย่างรวดเร็ว

ใกล้ศาลเจ้าอิไอ เราได้ลองเข้าร่วมการฝึกสั้น ๆ เพื่อสัมผัสประสบการณ์เรียนศิลปะอันโดดเด่นนี้ หลังจากฝึกเทคนิคเช่นการชักดาบ การโจมตี และการเก็บดาบเข้าฝัก ด้วยดาบปลอม แล้วยังได้ลองกวัดแกว่งดาบหนัก 1.3 กก. เพื่อฟัน ทาทามิซุสึ หรือเสื่อฟางม้วน ถึงความหนาของม้วนเสื่อจะเทียบเท่ากับขาหมู แต่ก็แทบไม่รู้สึกถึงแรงต้านเลย ผู้ที่ได้ลองทำกิจกรรมนี้จะประทับใจซามูไรญี่ปุ่นยิ่งกว่าเดิมแน่นอน

ติดตามข้อมูลต่อได้ที่

https://en.iaidoexperience.com/ (ภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเท่านั้น)

วันที่ 3

อินะนิวะอุด้ง ของซาโตะ โยสุเกะ

มีเส้นก๋วยเตี๋ยวทำมือหลายชนิดในญี่ปุ่นที่หลายคนน่าจะคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นราเม็ง โซบะ หรืออุด้ง แต่เส้นอินานิวะอุด้งนี้เป็นสูตรพิเศษของจังหวัดอะคิตะ และบางกว่าเส้นอุด้งทั่วไป ทำผ่านกระบวนการนวดและดึงเส้นด้วยมือแบบดั้งเดิมที่ใช้แรงมาก

ผู้ผลิตเส้นอุด้งอินะนิวะชื่อดัง ซาโตะ โยสุเกะ (Sato Yosuke) มอบโอกาสให้นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถทดลองทำกระบวนการเหล่านี้ได้ (1,500 เยน) มีแป้งให้พร้อมแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำในส่วนของการนวดและยืดแป้งเอง แล้วยังสามารถส่งเส้นอุด้งที่นวดแล้วไปให้ถึงบ้านคุณได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ (เฉพาะผู้ที่อยู่ภายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น)

หลังจากนั้นเราก็ได้ลองชิมเส้นอุด้งของมืออาชีพที่ร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ ที่ปกติจะเสิร์ฟแบบเย็น เส้นอุด้งที่บาง แบน และลื่น มีรสสัมผัสเคี้ยวหนึบดี และอร่อยมากเมื่อทานคู่กับซอสดาชิและซอสรสงา มีต้นหอมซอย วาซาบิสด และขิงสดขูดที่เสิร์ฟเป็นเครื่องเคียง

ติดตามข้อมูลต่อได้ที่

https://www.sato-yoske.co.jp/ (ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)

อุจิกุระแห่งมาสุดะ

ย่านศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ในเมืองมาสุดะของจังหวัดอะคิตะ มีถนนหลักที่เรียงรายด้วยบ้านญี่ปุ่นที่มีอายุนับศตวรรษ นี่ไม่ใช่อะไรแปลกใหม่ แต่สิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์เหล่านี้มีเอกลักษณ์ตรงความแคบและยาว มีหลายอาคารที่ยาวกว่า 100 เมตร และหลายหลังก็ยังมีผู้อยู่อาศัยอยู่จริง จวบจนถึงทุกวันนี้

ที่สำคัญกว่านั้น สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ยังโดดเด่นเพราะสิ่งที่อยู่ภายใน นั่นคืออุจิกุระ หรือโกดังเก็บของภายใน โกดังเหล่านี้ไม่ใช่โกดังเก็บของธรรมดา แต่ยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยได้ด้วย ผู้มาเยือนสามารถเที่ยวชมอุจิกุระเหล่านี้ได้ และประทับใจไปกับทักษะงานช่างอันประณีต พร้อมไม้เคลือบสีแดงโดดเด่นตัดกับผนังปูนสีดำ

ติดตามเกร็ดความรู้ต่อได้ที่

https://masudakanko.com/en/uchigura/ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)

เก็บแอปเปิ้ล

เช่นเดียวกับเนื้อวัวยามากาตะ ความต่างทางอุณหภูมิระหว่างช่วงกลางวันและกลางคืนที่ห่างกันมากนั้นเหมาะแก่การปลูกแอปเปิ้ล ที่จริงแล้ว ภูมิภาคนี้เป็นผู้ผลิตแอปเปิ้ลรายใหญ่ของญี่ปุ่น การเก็บแอปเปิ้ลด้วยตัวเอง (หรือผลไม้ชนิดอื่น) แบบสดจากต้น ก็เป็นอะไรที่สนุก และสวนผลไม้บางเจ้าก็มีตัวเลือกแบบกินได้ไม่อั้นอีกด้วย ในขณะที่บางสวนก็อาจเรียกเก็บเงินจากจำนวนและน้ำหนักของผลไม้ที่คุณเก็บมา

ทางตอนเหนือของอะคิตะมีสวนแอปเปิ้ลหลายแห่ง โดยเฉพาะในเขตนากายามะของเมืองโอดาเตะ (Odate) และย่านฟุชิคาเงะของเมืองคิตะอะคิตะ (Kita-Akita) เราอ้อมไปที่สวนคากายะ คะจุเอ็น ฟาร์มเล็กๆ ที่เป็นกิจการของครอบครัวหนึ่ง ที่นี่ปลูกแอปเปิ้ลหลากหลายชนิด มีการปีนขึ้นบันไดไปเด็ดแอปเปิ้ลด้วย สามารถเลือกแอปเปิ้ลฟูจิที่มีชื่อเสียงในระดับสากล หรือแอปเปิ้ลเบนิอะคาริ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่มีเฉพาะในอะคิตะ ทุกผลมีรสสัมผัสกรุบกรอบและหวานเปรี้ยวที่สมดุลกันอย่างดีเยี่ยม

ติดตามข้อมูลต่อได้ที่

http://www6.plala.or.jp/kagaya-kaju/ (ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)

ทำหม้อไฟดามาโกะ-นาเบะ

จากนั้นเราขับออกไปยังคาบสมุทรโองะของจังหวัดอะคิตะ ดินแดนที่การทำอาหารและวัฒนธรรมประเพณียังดำเนินอยูท่ามกลางทิวทัศน์ทางธรรมชาติอันสวยงาม จุดหมายแรกของเราคือ Ninigi Café บ้านฟาร์มเก่า ๆ แต่ที่จริงเป็นทั้งบ้านที่ครอบครัวอาศัยอยู่ คาเฟ่สบาย ๆ และโรงแรมเล็กแบบดั้งเดิมในที่เดียวกัน

ถึงแม้ว่าเราจะค้างคืนที่อื่น เราก็ได้แวะไปเพื่อที่จะได้มีโอกาสทำหนึ่งในอาหารประจำถิ่นของอะคิตะ หม้อไฟดามาโกะ-นาเบะ เจ้าของคาเฟ่ที่เป็นคุณพ่อวัยสี่สิบและเป็นแฟนเพลงตัวยง นำเอาข้าวบดแล้วสาธิตวิธีปั้นมันให้เป็นก้อนเล็ก ๆ ขนาดพอดีคำ

เมื่อทำเสร็จ ก้อนข้าวเหล่านี้ได้ถูกนำไปใส่ในหม้อไฟพร้อมโกโบ ใบมิตสึบะ (พืชคล้ายผักชีฝรั่งของญี่ปุ่น) ต้นหอมญี่ปุ่น พร้อมกับเนื้อไก่ ออกมาเป็นอาหารที่อบอุ่นและอิ่มอร่อย อาหารอะคิตะหม้อนี้เหมาะมากสำหรับการแบ่งทานร่วมกับคนอื่นในคืนฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเย็น

ติดตามข้อมูลต่อได้ที่

http://ninigi-cafe.com/ (ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)

วันที่ 4

นามาฮาเกะ

จุดหมายแห่งที่สองนำมาสู่บางสิ่งที่มีความหมายเดียวกันกับคาบสมุทรโองะ: นามาฮาเกะ เทศกาลท้องถิ่นในวันส่งท้ายปีเก่า ชายหนุ่มจะสวมหน้ากากและเครื่องแต่งกายทำจากฟางและเล่นเป็นนามาฮาเกะ ยักษ์หน้าตาน่ากลัวที่ไปตามบ้านแต่ละหลังเพื่อตามหาเด็กไม่ดีเพื่อทำให้เด็ก ๆ พวกนั้นกลัวจนกลับมาเป็นเด็กดี

ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้มาโองะในวันที่ 31 ธันวาคม คุณก็ยังสามารถสัมผัสประเพณีแห่งอะคิตะนี้ได้ที่พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นโองะชินซัน (Oga Shinzan Folklore Museum) เมื่อก้าวเข้ามายังบ้านหลังคามุงแบบดั้งเดิมที่อบอวลไปด้วยกลิ่นควันจากอิโรริ (เตาที่มักอยู่ในบ้านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม) เราได้นั่งร่วมกับแขกท่านอื่น ๆ บนเสื่อทาทามิ หลังจากนั้นก็มีเสียงกระทืบเท้าและเสียงเคาะจากด้านนอก นามาฮาเกะสองตนได้เข้ามาแล้ว เพื่อเริ่มพิธีกรรมตามหาเด็กไม่ดี แต่โชคดีที่พวกเราไม่มีเด็กไม่ดีในกลุ่มเลยสักคน

ถัดมาที่พิพิธภัณฑ์นามาฮาเกะที่ดูทันสมัย มีการนำเสนอประวัติศาสตร์และความหลากหลายของประเพณีนี้ ถึงแม้ว่าพิธีกรรมโดยรวมของนามาฮาเกะนั้นจะเหมือนกัน แต่หลากหลายชุมชนในบริเวณคาบสมุทรนั้นก็สร้างหน้ากากไม่เหมือนกัน และตัวอย่างบางส่วนของหน้ากากเหล่านั้นก็ถูกจัดแสดงที่นี่

ขณะเดียวกัน ศาลเจ้าชินซัน (Shinzan Shrine) แห่งยุคเฮอัน (ค.ศ. 794 – 1185) ที่ตั้งอยู่เลยไปอีกหน่อย ก็เป็นที่จัดเทศกาล นามาฮาเกะเซโดะ ในเดือนกุมภาพันธ์ และบางช่วงของปีก็จะมีการแสดงตอนกลางคืนที่มีนามาฮาเกะตีกลองไทโกะด้วย!

ติดตามข้อมูลต่อได้ที่

https://namahage.co.jp/namahagekan/en/ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)

http://e-ogaonsen.com/taiko/ (ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)

โรงหมักทาคาชิมิสึ (Akita Shurui Seizoh Co. Ltd.)

ตามเอกสารทางการแล้ว บริษัท Akita Shurui Seizoh Co. Ltd. ก่อตั้งขึ้นในปี 1944 แต่เหมือนกับผู้ผลิตสาเกญี่ปุ่นรายอื่น ๆ บริษัทนี้มีประวัติเก่าแก่มากกว่านั้น ช่างฝีมือหมักเหล้าชาวอะคิตะ 12 คน ที่ได้สืบทอดการหมักสาเกตั้งแต่ยุคเอโดะ เมจิ ไทโช และโชวะ ได้ร่วมมือกันแล้วเริ่มผลิตสาเกยี่ห้อทาคาชิมิสึ ซึ่งแปลว่า “น้ำพุสูง”

ด้วยน้ำพุธรรมชาติและข้าวสาเกพิเศษที่ปลูกในอะคิตะ บริษัทได้ผลิตสาเกหลากหลายชนิด แม้กระบวนการผลิตส่วนมากจะใช้เครื่องจักร แต่ก็มีสาเกชนิดกินโจที่ทำมือทั้งหมดทุกกระบวนการด้วย

มีจัดทัวร์โรงผลิตสาเกวันละสามรอบ และในช่วงฤดูหนาว คนที่มาเที่ยวในรอบเวลา 10:30 อาจเห็นพนักงานกำลังผลิตสาเกอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่า ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ การทัวร์โรงงาน การชิม และซื้อสินค้าที่โรงงานได้ถูกระงับเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 สำหรับข้อมูลว่าจะกลับมาเปิดให้เยี่ยมชมได้อีกเมื่อไร โปรดติดต่อสอบถามกับทางโรงงานที่เบอร์ 018-864-7331

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 

http://www.takashimizu.com/ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)

มื้อกลางวันที่ร้าน ฮงเกะ อาเบะยะ

หนึ่งในสิ่งที่อะคิตะภูมิใจนำเสนอก็คือหนึ่งในสามแบรนด์ไก่ปลอดสารยอดเยี่ยมของญี่ปุ่น นั่นคือไก่เมืองฮิไน ที่ร้านอาหารฮงเกะ อาเบะยะ (Honke Abeya) จะมีเนื้อไก่พรีเมียมมาส่งทุกวันเพื่อรับประกันความสด จากนั้นนำมาเสิร์ฟลูกค้าในหลากหลายสไตล์ จากไก่เทอริยากิเสียบไม้ย่างถ่านแบบคลาสสิก ไปจนถึงอาหารประเภทข้าว และหม้อไฟหลายแบบ

ก่อนที่จะนั่งรถชินคังเซ็นกลับไปโตเกียว เราได้หยุดทานมื้อกลางวันที่ฮงเกะ อาเบะยะ สาขาอะคิตะ ที่ตั้งอยู่ใกล้สถานีอะคิตะ (Akita Station) แล้วสั่งโอยาโกะด้ง โดยร้านฮงเกะ อาเบะยะ ได้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอก เป็นเมนูดังของญี่ปุ่นจานนี้ที่มีเนื้อไก่และไข่เป็นดาวเด่น เสิร์ฟลงบนข้าวอะคิตะ โคมาจิ การผสมกันของดาชิ ไข่สีเหลือง และเนื้อไก่ชุ่มฉ่ำรสเข้มข้นที่อัดแน่นไปด้วยรสอุมามิ ที่เรากินกันจนเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

http://honkeabeya.com (ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)

สรุป

แม้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นส่วนเล็กๆ ของภูมิภาคโทโฮคุที่กว้างใหญ่ แต่เราก็ประทับใจมากๆ กับความหลากหลายและแตกต่างกันของสามจังหวัดที่ได้ไปเที่ยว ทั้งในด้านอาหาร ทิวทัศน์ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมประเพณี ที่เหล่านั้นมีหลายอย่างที่น่าสนใจให้เราค้นพบมากมายเลย

นอกจากนี้ เรายังจะได้ไปต่อกันที่อีกสามจังหวัดที่เหลือของโทโฮคุอีกด้วย (นั่นก็คืออาโอโมริ มิยางิ และอิวะเตะ) อย่าลืมติดตามตอนต่อไปด้วยนะ

สำหรับใครที่อยากรู้จักภูมิภาคโทโฮคุของญี่ปุ่นให้มากขึ้น สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Treasureland TOHOKU JAPAN : https://tohoku-japan.jp/th/ (ภาษาไทย)

[Advertorial]

 

 

 

 

 

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook