โบอ่อง แดนศักดิ์สิทธิ์กลางทะเลสาบ
ปัญหาอย่างหนึ่งเมื่อเกิดการรวมตัวกันของกลุ่มเพื่อนต่างวัยที่ต้องการออกเดินทางท่องเที่ยว คือ จะไปที่ไหนดี? เมื่อความต้องการนั้นหลากหลาย บางคนในกลุ่มต้องการเที่ยวป่าแบบลุยๆ บางคนอยากเข้าวัดไหว้พระ บางคนชอบเข้าสวนผลไม้ บางคนต้องการพักผ่อนแบบชิลล์ๆ นั่งนอนอยู่ในที่พัก เมื่อทุกความต้องการมารวมอยู่ในการเดินทางทริปเดียวกัน ผมถือว่าโจทย์นี้ยากพอสมควร
และในที่สุด ทริปที่ 74 จึงบังเกิดขึ้น เพื่อตอบทุกโจทย์ให้ได้คำตอบที่ประทับใจสมาชิกผู้ร่วมเดินทางมากที่สุด และเผื่อว่าคุณผู้อ่านสนใจก็สามารถนำโปรแกรมการเดินทางนี้ไปชักชวนเพื่อนๆ ของท่านออกเดินทางไปตามหาความสนุกประทับใจเหมือนดั่งกลุ่มของผมได้เช่นกัน
วันแรก : กรุงเทพฯ – ทองผาภูมิ
เราออกเดินทางตอนเช้ามุ่งหน้าสู่ จ.กาญจนบุรี โดยใช้เวลาเพียง 2 ขั่วโมง มาถึงจุดหมายแรกคือ ชุมชนปากแพรกหน้าเมืองเก่ากาญจนบุรี บริเวณปากแพรกนี้มีความเป็นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 โดยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯ ให้ย้ายเมืองกาญจนบุรีจากบ้านท่าเสาเขาชนไก่มายังบริเวณปากแพรก ซึ่งเป็นบริเวณที่แม่น้ำแควน้อย และแควใหญ่ ไหลมาบรรจบกันเป็นลำน้ำแม่กลองไหลลงสู่ทะเลที่ จ.สมุทรสงคราม
ในช่วงเวลาค่ำของทุกวันเสาร์ทาง จ.กาญจนบุรี ได้จัดให้เป็นถนนคนเดิน มีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับวันนี้ผมมาในช่วงเวลาสาย นักท่องเที่ยวจึงบางตา แต่ทำให้ได้เห็นอาคารเก่าหลายหลังที่มีความเก่าแก่สวยงาม และได้นั่งพักผ่อนในร้านกาแฟสิทธิสังข์ ซึ่งตกแต่งในสไตล์ร่วมสมัยได้อย่างลงตัว
จากนั้นมุ่งหน้าต่อไปยังบ้านห้วยอู่ล่องรีสอร์ท ที่พักสไตล์คันทรีฮัทริมลำห้วยอู่ล่อง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี จากตัวเมืองถึงบ้านห้วยอู่ล่องรีสอร์ทระยะทางประมาณ 130 กิโลเมตร บนทางหลวงหมายเลข 323 เส้นทางร่มรื่นสวยงาม ทำให้การขับรถไม่รู้สึกเบื่อ เรียกได้ว่ามีอะไรให้ชมตลอดเส้นทาง ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็เดินทางมาถึงที่พักสบายๆ ที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยแมกไม้และสายน้ำไหลผ่าน เชคอินเข้าพักเรียบร้อย หลายคนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าลงเล่นน้ำในลำห้วยกันอย่างสนุกสนาน บางคนได้นั่งชิลล์ดื่มเครื่องดื่มในแก้วโปรดร่วมวงสนทนาในหมู่มิตรกันอย่างรื่นรมย์
เมื่อมื้อค่ำเดินทางมาถึง พวกเราชาวคณะได้อิ่มอร่อยกับเมนูอาหารไทย และอาหารเวียดนาม ที่ได้ถูกจัดตกแต่งมาอย่างสวยงามน่ารับประทาน รสชาติอร่อยสมคำร่ำลือ บรรยากาศริมลำห้วยเสียงสายน้ำไหลช่วยขับกล่อมราวเสียงดนตรีจากธรรมชาติให้ความรู้สึกเพลิดเพลินปลดปล่อย จนถึงยามดึกจึงได้แยกย้ายไปพักผ่อนหลับนอนเก็บเรี่ยวแรงไว้ลุยต่อในดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลางทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณ์
วันที่สอง พระธาตุโบอ่อง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เช้าวันนี้เราตื่นนอนกันในช่วงสาย ฝนตกเมื่อคืนทำให้หลับสบายแบบรวดเดียวจนถึงเช้า เมนูอาหารเช้าวันนี้คือไข่กระทะร้อนๆ เสริฟมาพร้อมกาแฟและขนมปัง ช่วยเรียกพลังให้แก่ร่างกายพร้อมออกลุยเที่ยวกันต่อไป
เมื่อทุกคนพร้อมออกเดินทางท่องเที่ยว คุณโจ อู่ล่อง ผู้ซึ่งบุกเบิกเส้นทางท่องเที่ยวใน อ.ทองผาภูมิ หลายแห่งมาเกือบ 20 ปี และปัจจุบันเป็นเจ้าของบ้านห้วยอู่ล่องรีสอร์ทที่พักสวยริมสายน้ำ ได้มาแนะนำและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางไปยังพระธาตุโบอ่อง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยากต่อการเข้าถึง ซึ่งคณะของเรากำลังจะเดินทางไปในวันนี้
เราออกเดินทางด้วยรถยนต์กระบะของทางรีสอร์ทที่คุณโจได้จัดเตรียมไว้ให้ รถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ เหล่านี้ในยามปกติจะถูกใช้นำพานักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบการผจญภัยแบบสมบุกสมบัน ให้ได้เข้าไปพบกับธรรมชาติที่สวยงามซ่อนเร้นอยู่ในป่า น้อยครั้งนักที่จะได้วิ่งอยู่บนถนนสะดวกสีดำ เมื่อผมได้ปีนป่ายขึ้นไปความรู้สึกได้ออกผจญภัยจึงเข้ามาเยือนอีกครั้ง
ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร เราก็มาถึงจุดที่จะต้องเดินทางต่อด้วยเรือหางยาว จากริมทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณสู่หมู่บ้านกลางน้ำ เป็นการเดินทางที่ไม่ได้ลำบากยากเย็นนัก ผู้สูงอายุและเด็กสามารถเดินทางไปได้ แต่เพื่อความปลอดภัยทุกคนต้องสวมใส่เสื้อชูชีพขณะที่อยู่ในเรือ
เสียงเครื่องเรือก้องกังวานเป็นสัญญาณบอกถึงการผจญภัยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว คนขับเรือเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนสายลมและละอองน้ำลอยมาปะทะใบหน้า ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นที่กำลังจะได้เดินทางไปสู่ดินแดนที่รถยนต์ไม่สามารถขับเข้าไปถึงและเขาไม่เคยได้เดินทางมาเยือน
เรือนำพาเราผ่านทิวเขาน้อยใหญ่เรียงรายรูปร่างแปลกตา บางช่วงเวลาได้พบเห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่ได้อยู่อาศัยบนผืนน้ำ มันเป็นความเรียบง่ายปะปนความสุขสงบโดยปราศจากสิ่งรบกวน ความสุขบนสายน้ำผ่านไปประมาณ 40 นาที เราได้เดินทางมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวกระเหรี่ยงพุทธ ณ ที่แห่งนี้มีชื่อเรียกกันว่า บ้านโบอ่อง
ก้าวแรกลงจากเรือสัมผัสพื้นดินอ่อนนุ่ม บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของแร่ธาตุ ไม่น่าแปลกใจที่พืชพรรณไม้บนเกาะกลางน้ำจะเจริญงอกงามออกดอกผลดี ยิ่งในช่วงฤดูฝนนี้มองไปรอบตัวจะเห็นแต่ความเขียวชอุ่มชุ่มชื่นไปทั่วบริเวณ บางคนในกลุ่มเดินทางขอเดินเท้าตามทางสู่หมู่บ้าน บ้างขอขึ้นรถที่มีอยู่เพียง 2 คันบนเกาะต่อไปยังจุดหมายเดียวกัน คิดเป็นระยะทางไม่ไกลนัก
เราเดินผ่านหมู่บ้านไปสู่วัดโบอ่องด้วยอาการที่ไม่รู้สึกเหนื่อยแม้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่พระสงฆ์ที่มีอยู่เพียง 4 รูป กำลังฉันเพล เราจึงเดินไปนมัสการพระธาตุโบอ่องกันก่อน
เกี่ยวกับความเป็นมาของพระธาตุโบอ่องนั้น ไม่ค่อยมีหลักฐานชัดเจนมากนัก มีเพียงคำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่เล่าสืบต่อกันมาว่า พระธาตุโบอ่องสร้างมาเป็นเวลากว่าร้อยปี โดยไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้สร้าง มีลักษณะเป็นเจดีย์ศิลปะพม่าตั้งอยู่บนยอดเขา โดยมีบ่อน้ำบึงบัวล้อมรอบภูเขานี้อยู่
การขึ้นไปนมัสการพระธาตุ สามารถไปได้แต่ผู้ชาย ผู้ที่เป็นเพศหญิงห้ามเดินข้ามสะพานไปโดยเด็ดขาด ว่ากันว่าในสมัยก่อนเคยมีผู้หญิงเดินข้ามสะพานเพื่อไปนมัสการพระธาตุ แต่กลับเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นโดยน้ำในบ่อรอบพระธาตุเหือดแห้งหายไป ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นลางร้าย จึงตั้งกฎว่าห้ามผู้หญิงข้ามสะพานไปนมัสการพระธาตุโบอ่องโดยเด็ดขาด ซึ่งความเชื่อนี้ยังคงถือปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างเคร่งครัดจนถึงปัจจุบัน
เรื่องความอัศจรรย์ของพระธาตุยังมีอีกหลายเหตุการณ์ แต่ถ้าถามว่า ผู้คนที่เดินทางมาขอพรพระธาตุแห่งนี้แล้วสัมฤทธิ์ผลนั้นเขาขออะไรกัน คำตอบคือ ส่วนใหญ่จะขอในเรื่อง ขอให้มีบุตร ขอให้หายจากอาการป่วย ขอให้มีความสำเร็จในหน้าที่การงาน การค้าขาย ซึ่งร่ำลือกันว่าเกือบทุกรายเมื่อเดินทางกลับไปแล้ว ก็จะสมความปรารถนา และได้กลับมาทำบุญแด่องค์พระธาตุอีกครั้ง
ทริปนี้ผมโชคดีที่เป็นผู้ชาย จึงได้มีโอกาสเดินขึ้นไปกราบที่องค์พระธาตุบนยอดเขา โดยมีสมาชิกที่เป็นผู้ชายร่วมเดินทางอีกสองสามท่านขึ้นไปด้วยเช่นกัน ผมนั่งลงกราบพระธาตุโบอ่องด้วยความรู้สึกศรัทธา พลันคิดถึงการเดินทางมาจะว่าง่ายก็ไม่เชิงจะว่ายากก็ไม่ใช่นัก ทุกคนที่รักการเดินทางสามารถมาได้จะเด็กเล็ก หรือ ผู้ใหญ่ที่ยังเดินลงเรือไหวผมคิดว่ามาได้สบาย
พรที่ผมขอต่อองค์พระธาตุอาจจะยังไม่สัมฤทธิ์ผลในวันนี้ แต่ที่ชัดเจนและเห็นผลตรงหน้าเวลานี้ คือ ผู้ร่วมเดินทางทุกคนมีรอยยิ้มจากความสุข ที่เราได้เดินทางมาทำบุญร่วมกันอีกครั้ง หลังผ่านพ้นวิกฤตการณ์ Covid 19 มาได้อย่างปลอดภัยกันทุกคน
ขอขอบคุณผู้นำทาง – แนะนำที่พักสบายๆ ใน อ.ทองผาภูมิ
คุณ โจ อู่ล่อง บ้านห้วยอู่ล่องรีสอร์ท