ไอร์แลนด์เหนือ (ตอนที่2) : เดินชิวที่ Londonderry และตำนานรักของยักษ์ที่ Giant's Causeway

ไอร์แลนด์เหนือ (ตอนที่2) : เดินชิวที่ Londonderry และตำนานรักของยักษ์ที่ Giant's Causeway

ไอร์แลนด์เหนือ (ตอนที่2) : เดินชิวที่ Londonderry และตำนานรักของยักษ์ที่ Giant's Causeway
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แอบหายไปนาน ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเล็กน้อย เลยไม่ได้เข้ามาอัพบล็อคบ่อยเท่าที่ควรจะเป็น TT^TT หากคุณผู้อ่านท่านใดรอคอยตอนสองอยู่ ต้องขอกราบประทานอภัยอย่างสูงมานะที่นี่ด้วยนะคะ >.< ... เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาลุยกันต่อเลยดีกว่า ^^

mapgiant

ท้าวความจากตอนที่แล้ว ที่เราได้พาไปดูหน้าตาของเบลฟาสท์และทำความรู้จักไอร์แลนด์เหนือกันไปประมาณนึงแล้ว มาวันนี้เราจะขอพาเพื่อนๆออกนอกเมืองเบลฟาสท์ไปยังเมืองใหญ่อันดับสองของไอร์แลนด์เหนืออย่าง "ลอนดอนเดอร์รี่" (Londonderry) และพาไปสัมผัสกับธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์อย่าง "ไจแอนด์คอสเวย์ " (Giant's Causeway) กันค่ะ

londonderry

 ลอนดอนเดอร์รี่ (Londonderry)

เป็นเมืองใหญ่อันดับสองในไอร์แลนด์เหนือ (รองจากเบลฟาสท์) สำหรับการเดินทาง ตอนที่เราไปเที่ยว เราเลือกนั่งรถไฟของ NI Railways จากสถานี Botanic Bel fast ไปค่ะ ราคาตั๋วจะถูกแพงแตกต่างกันไปตามประเภทและเวลาที่จะขึ้นรถไฟ  ถ้าเป็นตั๋วเที่ยวเดียว (single) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 12-15 ปอนด์ ส่วนถ้าเป็นตั๋วไปกลับ (day return) ก็จะอยู่ที่ราวๆ 18-20 ปอนด์ ซึ่งจะถูกกว่าแบบแรกค่ะ

 

318518_10150308526817461_486539177_n

 เราแนะนำว่าถ้าจองที่พักไว้ที่เบลฟาสท์ที่เดียว ลอนดอนเดอร์รี่ สามารถเที่ยววันเดียวได้นะคะ คือออกช่วงเช้าซัก 9 - 10 โมงชิวๆ และกลับมาเบลฟาสท์ตอนเย็น ซึ่งถ้าไปแบบนี้ก็เลือกซื้อตั่วแบบไปกลับจะประหยัดกว่าการซื้อแบบเที่ยวเดียวค่ะ สำหรับเวลาในการเดินทางจะอยู่ที่ราวๆสองชั่วโมงนิดๆไม่เกินสาม ก็จะถึงลอนดอนเดอร์รี่ค่ะ ^^

derry2

 สำหรับเรารู้สึกว่าลอนดอนเดอร์รี่เป็นเมืองที่น่ารัก ผู้คนก็ใจดี ตอนที่เราไปถึงสถานีรถไฟก็แอบงงๆว่าจะเข้าเมืองยังไง เพราะตอนแรกภาพที่จินตนาการไว้คือสถานีจะอยู่ใจกลางเมืองเลย แต่ปรากฏพอลงรถไฟแล้วกลับเห็นแต่แม่น้ำและถนนพร้อมทุ่งหญ้า เลยงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตรงนั้นว่าเอ๊ะและฉันจะเข้าเมืองยังไงเนี่ย (สมาร์ทโฟนก็ไม่มีค่ะตอนนั้น จีพีเอสนี่ลืมไปได้เลย) ก็โชคดีที่เจอคุณลุงท่านนึงและพอถามทางแล้วก็ได้ข้อมูลการเที่ยวในเมืองแถมมาอีกมากมาย น่ารักและมีน้ำใจมากค่ะ ^^

derry1

บรรยากาศในเมืองลอนดอนเดอร์รี่จะแตกต่างจากเบลฟาสท์ค่ะ มาที่นี่แล้วได้อารมณ์เมืองพักผ่อนตากอากาศ คือมีบรรยากาศที่ชิวกว่า ผู้คนก็เดินกันช้าๆ มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านเมือง ตัวเมืองสามารถเดินเที่ยวได้ ไซน์และผังเมืองคล้ายๆกับเมืองยอร์ก ในอังกฤษ คือไม่ใหญ่มากและสามารถเดินเล่นบนกำแพงเมืองเพื่อชมวิวเมืองโดยรอบจากด้านบนได้ด้วย แต่ความพิเศษของที่นี่คือนอกจากจะเดินเล่นบนกำแพงเมืองได้แล้ว บนกำแพงโดยรอบยังมีโบสถ์และปราสาทเก่าๆให้ได้แวะชมและถ่ายรูปได้อีกด้วย

derry3

สำหรับทริปในลอนดอนเดอร์รี่ เราแพลนไว้แค่วันเดียวคือไปเช้าเย็นกลับ เพราะมีเวลาเที่ยวที่ไอร์แลนด์เพียงแค่ 4 วันเท่านั้น อีกหนึ่งวันที่เหลือเรากันไว้สำหรับ "ไจแอนด์คอสเวย์" ไฮไลท์เด็ดที่เรียกว่าถ้ามาถึงไอร์แลนด์เหนือและไม่ได้ไปก็เหมือนมาไม่ถึงกันเลยทีเดียว

สำหรับทริปไจแอนด์คอสเวย์ เราเลือกใช้บริษัทบริษัททัวร์แบบ one day trip คือไปเช้าเย็นกลับกับรถทัวร์คันใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวจากหลากหลายที่มาจอยรถกัน สาเหตุหลักที่เลือกการเที่ยวแบบนี้...ง่ายๆและสั้นๆเลยคือ "ประหยัด"ค่ะ ^^ เพราะถ้าไปเอง การเดินทางจะค่อยข้างซับซ้อนมาก คือต้องต่อรถหลายต่อและมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า บวกกับในเบลฟาสท์มีบริษัททัวร์ที่จัดพาไปเที่ยวไจแอนด์คอสเวย์เยอะมาก ราคาและรายละเอียดของทัวร์ก็ใกล้เคียงกัน เราเลยตัดสินใจจองทัวร์ผ่านที่พักที่เราพักอยู่ (ต้องจองล่วงหน้าหนึ่งวันเป็นอย่างช้าค่ะ) สนนราคาอยู่ที่ 30 ปอนด์ หรือ ประมาณ 1500 บาท

ราคานี้ไม่ได้พาไปเที่ยวแค่ไจแอนด์คอสเวย์ที่เดียวนะคะ แต่มีพาไปดูโรงงานผลิตไวน์ แวะจุดชมวิวสำคัญๆริมฝั่งโดยรอบ รวมถึงได้ไปเดินข้ามสะพานเชือกที่มีชื่ออย่าง "คาร์ริก อะ รีด" (Carrick-a-Rede Rope) ด้วยค่ะ ... บอกได้คำเดียวว่าคุ้มกว่าและเก็บได้ทุกจุดกว่าไปเองแน่นอน

บรรยากาศชายฝั่งของจุดชมวิว Carrick-a-Rede Rope

giantcauseway1

giantcauseway2

giantcauseway3

giantcauseway4

giantcauseway6

giantcauseway7

giantcauseway5

ไจแอนด์คอสเวย์ (Giant's Causeway)

มาถึงจุดไฮไลท์กันแล้วค่ะ สำหรับไจแอนด์คอสเวย์ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเอ๊ะ! และตกลงมันคืออะไร  มันสำคัญยังไง ทำไมเวลาพูดถึงไอร์แลนด์เหนือต้องพาดพิงถึงสถานที่ท่องเที่ยวนี้ด้วย .... คำตอบก็คือ ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมหัศจรรย์และมีชื่อเสียงของไอร์แลนด์เหนือค่ะ ถ้าหากว่ากันตามตำนานความเชื่อของชาวไอริสแล้ว เค้าว่ากันว่าก้อนหินแท่งๆที่ปรากฏขึ้นบนชายฝั่งนี้เป็นฝีมือการสร้างของยักษ์ตนนึงที่ต้องการสร้างเป็นทางไว้ให้กับคนรักของตนซึ่งอยู่ที่หมู่เกาะแถวๆสก็อตแลนด์ ให้เดินทางกลับมายังบ้านที่ไอร์แลนด์เหนือได้ (ซึ่งนี่เลยเป็นที่มาของคำว่าไจแอนด์ที่ปรากฏอยู่ในชื่อค่ะ)

แต่ถ้าว่ากันตามหลักการทางวิทยาศาสตร์แล้ว เสาหินเหล่านี้คือหินบะซอลต์ที่เกิดจากปฏิกิริยาของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 60 ล้านปีที่แล้ว กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่สวยงามและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมากมายมหาศาลอย่างในปัจจุบันนี้นี่เอง ^^

Giant's Causeway เสาหินยักษ์ในตำนาน

giant2

giant1

giant4

giant3

และทั้งหมดนี้ก็เป็นความประทับใจในทริปสั้นๆ 4 วันในไอร์แลนด์เหนือที่เราเก็บมาเล่าให้ฟังกันค่ะ แอบหวังเล็กๆว่าข้อมูลบางอย่างที่เขียนในเรื่อง อาจจะมีประโยชน์สำหรับคนที่คิดอยากไปเที่ยวไอร์แลนด์เหนือไม่มากก็น้อยนะคะ ... อยากบอกว่าประเทศนี้อาจจะเงียบๆ แลดูไม่หวือหวา แต่ถ้าใครชอบบรรยากาศชิวๆ อยากไปสัมผัสกับธรรมชาติแบบจุ่มตัวลงไป หรือเป็นคอเบียร์ไอรีส ไอร์แลนด์เหนือก็เป็นอีกจุดหมายปลายทางหนึ่งที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว .... รับรองว่า ถ้าได้ไปแล้วจะต้องประทับใจแบบเราแน่นอนค่ะ

และปิดท้ายกับคำศัพท์ที่จะนำเสนอกัน (ตามคอนเซ็ปต์ของเรา) ^^ ครั้งนี้ลัดฟ้าไปแถบยุโรปทั้งที เลยขอเสนอสำนวนภาษาอังกฤษซักสำนวนละกันนะคะ

สำนวนนี้ก็คือ "cost an arm and a leg" ในที่นี้ถ้าแปลตรงตัวจะคือ "ราคาแขนและขา" ซึ่งฟังแล้วอาจจะงงๆว่าเอ๊ะและตกลงมันแปลว่าอะไร ... จริงๆแล้วสำนวนนี้หมายถึง "ราคาแพงมากๆ(แพงชนิดที่ว่าต้องตัดแขนและขาเอาไปขายกันเลยทีเดียว)"

ตัวอย่างการนำไปใช้ก็เช่นว่า

The ticket is so expensive, It costs me an arm and a leg. I don't think I can afford it.

(ราคาตั๋วแพงสุดๆ ฉันไม่คิดว่าฉันจะสามารถจ่ายได้)

และพบกันใหม่ในบทความหน้านะคะ สัญญาว่าจะพยายามขยันอัพบล็อคค่า ^^

(อย่าลืมแวะทักทายและพูดคุยกันได้ที่เฟสบุ๊ค LittlePoison ด้วยนะคะทุกคน...)

บายยยยยย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook