ตะลุยแดนมัมมี่ VIII เยือน Sil sila ก่อนจะพากันลอยคว้างกลางแม่น้ำไนล์
เราก็มาถึงอิยิปต์บน หรือตอนใต้ของแม่น้ำไนล์กันแล้วนะคะ
ติดอกติดใจกับคุณไกด์มาดเข้ม และเต็มไปด้วยความรู้
บ่ายนี้ไปล่องเรือชมแม่น้ำไนล์กันดีกว่าค่ะ
อ่านเรื่องราวตอนก่อนๆได้ที่
"ตะลุยแดนมัมมี่ I ชมพีระมิดเมือง Dashur - Saqqara ตื่นตากับพิพิธภัณฑ์เมือง Memphis"
"ตะลุยแดนมัมมี่ II สัมผัสความอลังการของพีระมิดแห่งกิซ่า...หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก"
"ตะลุยแดนมัมมี่ III ชมวิหาร Deir al-Bahri วิหารของฟาโรห์หญิงผู้เกรียงไกร"
"ตะลุยแดนมัมมี่ IV วิหารแห่งองค์ฟาโรห์...สู่ชีวิตหลังความตายอันเป็นนิรันดร์"
"ตะลุยแดนมัมมี่ V ท่องลักซอร์ตะวันออก ชมวิหารคารนัคอันเลื่องชื่อ"
"ตะลุยแดนมัมมี่ VI ชิลยามบ่ายในลักซอร์ ต่อด้วยแสงสีเสียงตระการตาที่คาร์นัคยามค่ำคืน"
"ตะลุยแดนมัมมี่ VII มุ่งลงใต้ตามคุณไกด์สุดฮิปไปฟังเทพปรณัมของอิยิปต์กันเถอะ"
ช่วงบ่ายๆ ทานข้าวกันอิ่มหนำแล้วเราก็ไปต่อกันที่เกาะ Sil sila ค่ะ
โดยมีเป้าหมายคือการไปชมสุสานของ Horemheb
งานนี้ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาผจญภัยกันขนาดนี้ เริ่มจากขับรถวนหลงทางอยู่พักใหญ่ก่อนจะมารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะถนนใหญ่ปิด
คนขับรถจึงตัดสินใจไปทางลัดโดยการพาเราบุ่งเข้าดงไร่อ้อย ถนนแถบนั้นเป็นถนนลูกรังเลนเดียว ข้างหนึ่งเป็นคูน้ำอย่างลึก อีกข้างก็อย่างป่า มีลาลากรถสวนมาทีนี่ ไม่ใครก็ใครต้องลุยป่ากัน
งานนี้สยดสยองมากๆ รถก็โขยกแทบคืนข้าวกลางวันออกมาทีเดียว คนขับจอดถามทางมาเรื่อยๆจนมาถึงแม่น้ำไนล์จนได้ แต่ชะอุ๊ย ท่าจอดเรือมันไม่ได้อยู่ตรงนี้อ่ะจ่ะ (แบบว่าเลยมาอย่างไกล) สรุปว่าไกด์โทรหาเรือใบ felucca มาเทียบตลิ่งรับกันเลย ท่าเท่อไม่ต้องมี เริ่มตอนบ่ายด้วยดี(?) เกินความคาดหมายจริงๆ
นั่งเรือข้ามไนล์ไปถึง Gebel Silsila เรือใบเราก็จอดตลิ่งแรนด้อมกลางทางทั้งอย่างนั้นท่าเรือก็ไม่มี เราเลยได้ปีนป่ายขึ้นเขากันอย่างสมบุกสมบันกันอีกละสิทีนี้
ที่นี่เป็นที่ตั้งของสุสานแห่ง Horemheb (โฮเรมเฮป) ข้างๆสุสานเป็นทรายเรียบลื่น หน้าตาเหมือนทะเลทรายตามในรูปมากกว่าที่อื่นๆที่ผ่านมา
ไกด์เล่าว่าโฮเรมเฮปเป็นฟาโรห์ที่เก่งด้านการทูต มีวาจาคมคาย ช่วงนี้ชาวนูเบียแข็งข้อกับอิยิปต์ ท่านก็เสร็จมาไกล่เกลี่ยและเซ็นสัญาสงบศึกทำให้บ้านเมืองสงบลงได้ Sil sila (ซิล ซีลา) ที่ตั้งของสุสานของท่านนั้นเป็นแหล่งของหินทรายชั้นดี วิหารอื่นๆที่ก่อสร้างด้วยหินทรายก็มักจะมาขนหินทรายจากที่นี่ไป
สุสานของโฮเรมเฮปเป็นสุสานเล็กๆ หินทรายทำหน้าที่คล้ายตู้เย็น ควบคุมอุณหภูมิภายในให้เหมาะสมกับการรักษาสภาพมัมมี่ ผนังของสุสานเป็นรูปเทพคนุมเทพีไอซิสและเทพรา
เราจึงได้ฟังเรื่องราวว่าทำไมเทพคนุมจึงมีสมญานามว่าเทพผู้สร้าง ตำนานมีอยู่ว่ากำเนิดแห่งมนุษย์นั้นมีขั้นตอนคือเทพคนุมจะใช้ดินปั้นบนที่ปั้นหม้อ (moulder) ออกมาเป็นมนุษย์ เทพีไอซิสจะเป็นคนให้ปากและใส่วิญญาณให้แก่มนุษย์ที่เทพคนุมสร้าง ชื่อสำหรับมนุษย์จะถูกเขียนลงบนต้นไม้แห่งชีวิต อมุนราและโฮรัสจะเป็นคนเลือกชื่อให้มนุษย์คนนั้นอีกที
ชมสุสานแล้วเราต้องนั่งรอไกด์ติดต่อหาเรือกันอยู่พักใหญ่ไกด์ถึงหาเรือมาให้เรากลับได้ซักที คราวนี้เป็นมอเตอร์โบ๊ท เรากะว่าคงสบาย ไม่ขึ้นกับแดดน้ำลมฝนเหมือนเรือใบ แต่ที่ไหนได้ แล่นไปเกือบใกล้ฝั่งเครื่องก็กระตุกหงึกๆ แล้วก็ดับกึก เอาล่ะสิจะทำไง
คนขับเรือก็ไปกระตุกๆเครื่อง เจอว่าใบพัดกินสาหร่ายเข้าไปตรึม แซะไม่ออก ทีนี้ไกด์ก็เริ่มงุ่นงาน โทรมือถือให้วุ่น ลุงคนขับเรือไม่สนใจ ไปคุ้ยๆเหล็กแท่งๆ อะไรไม่รู้ เอามายัดใส่มือไกด์ แล้วก็บอกให้ช่วยพาย
งานนี้เราเลยได้เห็นท่าเด็กเนิร์ดพายเรือ แบบ เอิ่ม เอาพายแปะน้ำอย่างนี้มันจะไปมั้ยเพ่
ในที่สุดสามมั่นจากทีมเราทนดูไม่ไหว เลยสละกล้องกระบอกปืนให้พวกเราถือ แล้วไปพายแทนไกด์ ท่าทางคล่องกว่ากันเยอะ พายไปพายมาก็สังเกตว่า เราใกล้ฝั่งมากขึ้นแค่นิดเดียว (นี่เรานั่งเรือจะข้ามฝั่ง) แต่น้ำพัดไหลลงตามน้ำไปค่อนข้างไกล โอ๊ย ใครจะคิดเนี่ยว่าจะได้มาติดอยู่กลางแม่น้ำไนล์
ในที่สุดเราก็เข้าไปชนฝั่งที่มีแต่พงหญ้าสูงท่วมหัว ข้างใต้คงเป็นน้ำไม่ใช่ดิน ลงเดินไม่ได้อยู่ดี ลุงคนขับก็เอามือเกาะหญ้าดึงเรือขึ้นสวนกระแสน้ำได้ทีละนิด เรานี่คิดในใจแบบว่า เอาจริงหรอเนี่ย ถ้าค่อยๆกระดืบอย่างนี้เมื่อไหร่จะถึง ไกด์เนิร์ดของเราถึงกับเอามือกุมหัว
เมื่อท่าทางไม่เวิร์ค ลุงก็หันไปฟัดกับใบพัดใหม่ จนในที่สุด เรือช่วยเหลือก็มาถึง มาจอดเทียบแล้วเอาพวกเรากลับขึ้นฝั่ง
เฮ้อ เหนื่อย หมดแรงข้าวต้ม
ไปถึง Kom Ombo (คอมออมโบ) พระอาทิตย์ก็จะเกือบจะลับฟ้า
วิหารนี้เป็นวิหารแรกที่มีการบูชาเทพถึงสององค์คือเทพโฮรัส (เทพเหยี่ยว) และเทพโซเบ็ค (เทพจระเข้) โดยแบ่งวิหารให้คนละครึ่งเป๊ะๆ ซ้ายของโฮรัส ขวาของโซเบค
วิหารนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้า Ptolemy VI (ปโตเลมีที่หก) และต่อเติมโดยกษัตริย์องค์อื่นๆที่สืบทอดราชวงศ์ Ptolemy
ถ้ามองที่ช่องประตูที่ลึกเข้าไปข้างในจะเห็นว่ามีการจงใจสร้างให้เล็กและแคบกว่าประตูหน้าๆทำให้มองแล้วเหมือนถูกดูดเข้าไป คล้ายๆเป็นการดึงดูดใจให้เดินเข้า
ไกด์ยังเล่าถึงเรื่องราวที่มาของการบูชาเทพโซเบคในถิ่นนี้ กล่าวคือราชบุตรในทุตโมสที่สามนั้นได้มาวิ่งเล่นแถวแม่น้ำไนล์ เด็กน้อยซะโงกตัวใกล้น้ำเกินไป จระเข้ในแม่น้ำจึงโผล่ขึ้นมางับ แล้วลากร่างเด็กน้อยจมดิ่งลงใต้แม่น้ำ ทุตโมสที่สามพิโรธมาก สั่งปิดทางเดินน้ำเหนือและใต้ของแม่น้ำไนล์บริเวณใกล้เคียง แล้วออกล่าจระเข้ทุกตัวในลำน้ำจนพบร่างเจ้าชายในท้องจระเข้ตัวหนึ่งจึงได้นำพระศพมาทำมัมมี่และนำจระเข้ตัวนั้นไปบูชายัญ จากนั้นมาจระเข้ได้รับการนับถือเป็นเทพเจ้าหลักในถิ่นนี้ เชื่อว่าการนับถือเทพจระเข้จะเป็นการป้องกันอันตราจากการถูกจระเข้ในแม่น้ำไนล์ทำร้าย อีกทั้งจระเข้ยังถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งและความสมบูรณ์พันธุ์ จากนั้นมานักบวชจะคอยมองหาจระเข้ที่มีลักษณะพิเศษซึ่งจระเข้เหล่านั้นจะถูกจับมาเลี้ยงไว้ในบริเวณวิหาร ผู้คนจะนำ offering (เครื่องสักการะ) มาโยนให้จระเข้ในหลุมนี้ก่อนจระเข้จะถูกนำไปบูชายัญ
ไกด์บอกว่าก่อนออกไปจะพาไปดูรูปที่ชอบที่สุด เห็นทีไรหัวใจเต้นตึกตักตึกตัก
โห เฮียฟังดูอินจริงๆ อ่ะค่ะ
ปรากฏว่าเป็นรูปสิงโตรูปนี้ ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของฟาโรห์รามซิสผู้ยิ่งใหญ่ (ตัวโตๆที่เห็นแต่รองเท้าแตะ) เจ้าตัวนี้ได้ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่ฟาโรห์ไปทุกที่
คุณไกด์เอามือลูบๆ อย่างหลงไหลแล้วชี้ว่า เห็นมั้ยทั้งแผงคอทั้งเล็บยังคงสวยงามขนาดนี้หลังผ่านไปนับพันปี
เห็น passion ของไกด์แล้วก็ปลาบปลื้มดีใจแทนที่ไกด์ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก
กลับออกมาก็ดึกแล้วแสงสปอตไลท์สาดส่องวิหารเห็นเป็นสีมลังเมลืองดูแปลกตาจากขาเข้าให้เราเก็บเป็นภาพความทรงจำอันงดงามสุดท้ายของวันนี้ค่ะ
พรุ่งนี้เราจะพาไปชมวิหาร Abu Simbel และเขื่อนอัสวานกันต่อค่ะ
เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ใครๆ ก็รู้จักกันดี โดยเฉพาะจากภาพยนตร์มัมมี่ (อีกแล้ว)
อย่าลืมติดตามชมให้ได้นะคะ