เยือนถิ่นอีสาน ตำนานแห่งไดโนเสาร์ระดับโลก!!
อย่างที่รู้กันดีว่าในอดีตเมื่อ 65 ล้าปีก่อนนั้น โลกของเราถูกปกครองด้วยเผ่าพันธุ์ไดโนเสาร์ สัตว์ดึกดำบรรค์ที่มีชีวิตปกครองโลกอยู่อย่างยาวนาน
เผ่าพันธุ์ไดโนเสาร์นี้มีด้วยกันหลายสายพันธุ์ มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป จนถึงคราวที่มนุษย์ได้กำเนิดขึ้นไดโดนเสาร์จึงได้สูญพันะุ์ไปเมื่อ 60 ล้าปีก่อน
เมื่อไดโนเสาร์เคยอยู่แทบทุกส่วนของโลก และเมื่อล้มตายลง จึงไม่แปลกที่จะทำให้มีร่องรอยและชิ้นส่วนของไดโนเสาร์ กระจัดกระจายอยู๋ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกระดูก หรือร่องรอยต่าง ๆ
ในประเทศไทยของเรา มีการพบเห็นร่องรอยและซากไดโนเสาร์หลายแห่ง และมากสุดทางภาคอีสาน เพราะธรณีทางภาคอีสานมีอายุรุ่นเดียวกับไดโนเสาร์ที่กำลังครองโลก
และเกิดการขุดค้นในปัจจุบันเราจึงเจอซากไดโนเสาร์มากมายโดยเฉพาะในภาคอีสาน และมีไดโนเสาร์ถึง 9 ชนิดใหม่ของโลก ที่พบเจอในประเทศไทยเป็นที่แรก
เรามาลองดูว่าในอีสานบ้านเราพบเจอไดโนเสาร์ที่ไหนกันบ้าง
แรกสุด คงต้องยกเครดิตให้กับภูเวียง จ.ขอนแก่น เป็นที่แรกที่มีการขุดค้นเรื่องไดโนเสาร์ในไทย (ต่อมาได้แยกออกมาเป็น อ.เวียงเก่า หลุมขุดค้นเลยอยู่ใน อ.เวียงเก่าด้วย)
โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2519 มีหลุมขุดค้น 9 หลุม และพบกระดูกไดโนเสาร์มากมาย รวมทั้งซอโรพอด(คอยาว ตัวใหญ่ กินพืช) ชนิดใหม่ของโลกที่ชื่อ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน ด้วย
นอกนั้นยังเจอฟันของไดโนเสาร์กลุ่มสไปโนซอร์ สกุลและชนิดใหม่ของโลก จึงตั้งชื่อว่า สยามโมซอรัส สุธีธรนี อีกทั้งยังพบรอยตีนของไดโนเสาร์ขนาดเล็กที่พลานป่าชาด ในอุทยานแห่งชาติภูเวียงอีกด้วย
แต่ดูเหมือนไม่มีที่ไหนที่จะฮือฮาเท่ากับการขุดค้น ที่ภูกุ้มข้าว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์อีกแล้ว เพราะที่นี่ มีการขุดค้นพบซากไดโนเสาร์ที่ครบเกือบทั้งตัวที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยขุดพบในบ้านเรา
เป็นรูปร่างไดโนเสาร์ที่ไม่ต้องไปจินตนาการ เพราะรูปร่างที่ปรากฏชัดนั้นบ่งบอกขนาดและรูปลักษณ์ได้เป็นอย่างดี
และจากการค้นพบที่สำคัญนี้ กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้สร้างพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์สิรินธรขึ้น
เพื่อจัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ ทางธรณีและซากบรรพชีวินทั้งหลาย รวมทั้งเป็นห้องปฏิบัติการในการศึกษาค้นคว้า วิจัย จัดแต่ง ซากฟอสซิลต่างๆที่ขุดค้นได้ในประเทศไทย ที่ภูกุ้มข้าวนี้
จึงนับว่าเป็นทั้งหลุมขุดค้นที่ทรงคุณค่า และการจัดแสดงที่น่าสนใจและทันสมัย รวมทั้งเป็นแหล่งวิทยาการในเรื่องบรรพชีวินที่น่าสนใจอย่างมาก
แต่ถ้าไปที่ อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ มีหลุมขุดค้นภูน้อย ซึ่งเป็นหลุมขุดค้นที่ขุดกันมาตั้งแต่ปี 2353 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน มีการขุดได้ซากฟอสซิลที่มากมาย
มากทั้งจำนวน เพราะขุดพบเจอซากฟอสซิลทั้งของไดโนเสาร์และสัตว์อื่นๆร่วมสมัย มากกว่า 400 ชิ้น มากทั้งความหลากหลาย เพราะนอกจากจะพบเจอกระดูกของไดโนเสาร์ซอโรพอด
ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเจอในไทยแล้ว ยังเจอกระดูกไดโนเสาร์ชนิดอื่นอีกด้วย นอกจากนั้นยังเจอฟันจระเข้น้ำจืดโบราณ เต่าโบราณ และอีกหลากหลายสายพันธุ์ที่ขุดได้ในหลุมขุดค้นเดียวกัน
ซึ่งในแต่ละปีในช่วงหลังเดือนมกราคมไปแล้ว จะมีการเปิดหลุมขุดค้นและทำการขุดค้นทุกปี นักท่องเที่ยวสามารถไปเยี่ยมชมหรือไปร่วมเป็นอาสาสมัครขุดค้นก็ได้
ถือเป็นหลุมขุดค้นที่ยังดำเนินการและเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมชมและมีส่วนร่วมได้
ที่กาฬสินธุ์นั้น ยังมีร่องรอยของไดโนเสาร์ที่ปรากฏในรูปรอยตีนที่ถือว่าชัดเจน มีหลายรอย และเห็นเป็นทิศทางการเดินที่ชัดเจน ปรากฏบนลานหินในลำธารของวนอุทยานภูแฝก
เห็นเป็นรอยตีนไดโนเสาร์ขนาดใหญ่จำนวน 7 รอย เดินในทิศทางเดียวกันคือเดินข้ามลำธารน้ำ ซึ่งไม่เคยเจอรอยตีนไดโนเสาร์ขนาดใหญ่อย่างนี้มาก่อนที่มีมากมายแบบนี้
ก่อนหน้านี้เคยเจอรอยตีนไดโนเสาร์ชนิดนี้ที่ภูหลวง แต่เจอเพียง 2 รอยเท่านั้น จากรอยตีนที่ปรากฏทำให้นักบรรพชีวินคาดเดาขนาดของเจ้าของรอย
และชนิดอย่างคร่าวๆ(ไม่แม่นยำเท่ากับการพบเจอกระดูก) ว่าเป็นรอยตีนไดโนเสาร์ชนิดกินเนื้อ สายพันธุ์เดียวกับพวกทีเรกซ์
แต่ถ้าขึ้นมาจนติดแม่น้ำโขง ในเขต ต.พนอม อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ริมทางหลวงหมายเลข 212 บนลานหินทรายที่เป็นแผ่นราบเรียบ ปรากฏรอยตีนไดโยเสาร์มากมาย ร่วม 200 กว่ารอย
เดินกันขวักไขว่ไปมามากมายบนลานหิน นักบรรพชีวินได้ศึกษาจากรอยตีนแล้วบอกว่าเป็นรอยตีนของไดโนเสาร์พวกเทอร์โรพอต และไดโนเสาร์ออร์นิโธนิโมซอ หรือไดโนเสาร์นกกระจอกเทศ
ซึ่งพวกนี้อยู่รวมกันเป็นฝูง ออกล่าและหากินเป็นฝูง การพบเห็นรอยตีนที่ถือว่ามากสุดในประเทศขณะนี้ ทำให้สันนิษฐานได้ว่า พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นชายน้ำมาก่อน อาจจะเป็นริมแม่น้ำ ริมบึงน้ำ
ที่ไดโนเสาร์เดินย่ำลงมา แล้วปรากฏรอยตีนขึ้น เมื่อรอยตีนแห้ง ก็จะปรากฏเป็นร่องรอย เมื่อน้ำมาอีกก็จะพัดมาเอาตะกอนดินถมไปในร่องรอยตีน
แล้วพื้นดินก็เกิดการทับถมกัน ตามรูปแบบของการเกิดหินตะกอนทั้งหลาย(หินทรายเป็นรูปแบบหนึ่งของหินตะกอน) เมื่อชั้นหินแตก(กรณีบ้านพนอมเกิดจากการก่อสร้างทาง)
จะมีแผ่นหนึ่งด้านบนที่ประกบทับหลุดหายออกไป ทำให้เห็นรอยตีนที่เป็นลักษณะกดทับปรากฏให้เห็น
จะเห็นว่าร่องรอยของไดโนเสาร์ที่ปรากฏในภาคอีสานบ้านเรา มีตั้งแต่อายุมาก เรื่อยมาจนอายุน้อย ยังมีการขุดพบเจอที่นครราชสีมา
ซึ่งพบเจอส่วนมากในบ่อทรายแม่น้ำมูลเก่า หรือสัตว์ร่วมสมัยกับไดโนเสาร์อย่างปลาโบราณที่ภูน้ำจั้นที่มีอายุราว 150 ล้านปีมาแล้ว ฯลฯ
เหล่านี้ทำให้เรารู้ว่าแผ่นดินภาคอีสานของไทย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอาณาจักรของไดโนเสาร์มาก่อนทั้งสิ้น การขุดค้นพบแหล่งซากไดโนเสาร์ นอกจากจะเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าบรรพชีวินแล้ว
ยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทรงคุณค่า ไม่ใช่ทุกประเทศจะมีซากไดโนเสาร์ บางประเทศเป็นแผ่นดินเกิดใหม่หลังจากที่ไดโนเสาร์ตายไปแล้ว ก็จะไม่ปรากฏร่องรอยของไดไนเสาร์
จึงถือเป็นความโชคดีของประเทศไทย การตามรอยไดโนเสาร์ยังไม่สิ้นสุดเพียงนี้ เพราะในอนาคตจะยังมีการค้นพบกระดูกและร่องรอยไดโนเสาร์เกิดขึ้นอีกแน่นอน บนแผ่นดินที่ทรงคุณค่า แผ่นดินอีสานบ้านเรา....