แบกเป้ขึ้นรถไฟฟรีหนีไป 'เกาะเต่า'

แบกเป้ขึ้นรถไฟฟรีหนีไป 'เกาะเต่า'

แบกเป้ขึ้นรถไฟฟรีหนีไป 'เกาะเต่า'
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ขอกราบสวัสดีสามครั้งพร้อมส่ายหัวดุ๊กดิ๊กแบบลุงสายันต์ ขอต้อนรับทุกท่านสู่บทความท่องเที่ยวสุดเฟี้ยว แบบหนุ่มโสดเปลี่ยว เที่ยวคนเดียว ณ เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี กับการตัดสินใจเที่ยวแบบโดดเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต  เปิดประสบการณ์การเที่ยวเกาะเต่าแบบ 4 วัน 3 คืน ใช้งบน้อยที่สุด 

สำหรับผู้สนใจอยากจะแบ็คแพ็ค หนีโลกแห่งความจริงไปอยู่ในโลกอีกโลกที่ไม่มีคนรู้จักและแล้วทริปนี้ก็เริ่มขึ้นด้วยการเสิร์จหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การเดินทาง ที่พัก และได้ข้อสรุปแรกว่ารถไฟฟรีเป็นทางเลือกที่แสนดีสำหรับการประหยัดงบ จึงจัดแจงหารอบรถไฟฟรี ได้ความว่ามีรถไฟขบวนเร็วสาย 171 กรุงเทพฯ – สุไหงโก-ลก (เร็วจริงๆ แล้วใช่ไหม T T) ออกจากกรุงเทพฯ 13.00 น. และต้องถึงสถานีชุมพรเวลา 21.12 น. ถือเป็นเวลาที่ลงตัวอย่างยิ่ง

 

Start Day 1 !!!

ผมแบกกระเป๋ามาขึ้นรถไฟฟรีที่สถานีศาลายา รถไฟจะมาถึงสถานีนี้ตอน 14.08 น. ได้ตั๋วมาแล้วแถมยังมีเวลาเหลืออีก 20 นาที ระหว่างรอรถไฟก็นึกถึงคําขู่ที่แสนน่ากลัวของรถไฟฟรีที่ชอบมาช้า และคนแน่นมาก 

 

แต่ตั้งใจมาแล้วก็อย่าไปกลัวลําบากครับ "ประกาศรถไฟขบวนต่อไปเป็นรถไฟขบวน 171 บลาๆๆ" รถไฟมาแล้ว สวมวิญญาณนักวิ่งยิ่งกว่ายูเซน โบลต์ กระโดดขึ้นรถไฟ แอบมึนหาตู้รถไฟไม่เจอไปพักหนึ่ง 

 

แม้จะทุลักทุเลในการหาที่นั่งไปบ้างแต่ภารกิจแรกของผมก็สําเร็จมีที่นั่งบนรถไฟอย่างสมบูรณ์หลังจากนั่งรถไฟด้วยความตื่นเต้นมาพักใหญ่ อันดับต่อมาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความร้อน แต่ก็พอทนไหวถ้าแลกกับคําว่าฟรี ผมทนได้ 

 

และด้วยมิตรไมตรีช่างคุยของผมจึงสนิทกับพี่ชายที่นั่งติดกันอย่างรวดเร็ว พวกเราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องราวต่างๆ กันอย่างสนุก ทําให้เวลา 8 ชั่วโมงบนรถไฟ ไม่เหงาและดูสั้นลงมาก 

 

นอกจากมิตรภาพน่ารักๆ ของคนไทยแล้ว ยังมีวิวสวยๆ นอกหน้าต่างตลอดทางให้แก้เบื่อด้วย ก็เป็นอีกเสน่ห์ของรถไฟฟรีชั้น 3 ที่ได้เจอคนจําานวนมาก ได้มองเห็นความลําบากของผู้คนและวิถีชีวิตบนรถไฟที่ไม่เคยเห็น 

 

อ้อ...เกือบลืมบอกรถไฟจะเลท 1-2 ชั่วโมง ผมจึงถึงสถานีรถไฟชุมพรเอาตอน 22.15 น.ภารกิจที่สองคือเรือนอนราคาสุดถูก ข้ามไปเกาะเต่า แถมมาด้วยบรรยากาศเกินราคา วาดฝันไว้ก่อนมาว่าต้องขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ดูดาว จิบเบียร์ แค่คิดก็ฟินสุดๆ 

 

เมื่อเรือเริ่มออกจากท่าคุณจะรู้สึกว่าจะไม่ได้ใช้ภาษาไทยอีกแล้ว เหมือนวาปมาเที่ยวยุโรปก็มิปาน ฝรั่งเต็มไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่ฝรั่ง คนไทยนี่แรร์ไอเทมมาก ดูดาว เม้าท์กับฝรั่ง เพลินยาวไปถึงตี 2 ก่อนจะมานอนหลับสนิทด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน

 

Day 2

งัวเงียตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลา 6 โมงเช้า ห้องนอนเปิดไฟเป็นสัญญาณแจ้งเตือนว่าเรือกําาลังจะเทียบท่า ด้วยความแกร่งกล้ารับกระเป๋าจากห้องสัมภาระได้แล้ว ก็เดินตามหาหนังสือคัมภีร์เทพเกาะเต่า นามว่า Koh Tao Complete Guide ตามที่ได้รับคําแนะนํามา 

 

เพราะในนี้มีแผนที่ทั้งหมดทุกหาดทุกอ่าวในเกาะเต่า หาได้ตามร้านค้าหรือโรงแรมต่างๆ เป็นเอกสารแจกฟรี ผมจะทัวร์รอบเกาะด้วยรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งหาเช่าได้ในราคา 200 บาท พร้อมคําเตือนจากพี่ที่ให้เช่าว่า ขับระวังๆ นะ ค่าปรับโหด ด้วยความห่วงใยสําาหรับคนไทยด้วยกัน 

 

และย้ำว่าทางหฤโหดมาก ล้มกันมานักต่อนักเริ่มต้นด้วยที่แรก อ่าวลึก ผมขับไปสักพักก็นึกถึงคําาเตือนที่ได้รับมาทันที โอ้โห ทางโหดมาก ทั้งชัน หลุมบ่อ และที่สําคัญเป็นทราย 

 

แถวนี้ทางโหดครับ สวมวิญญาณมอเตอร์ครอสใจเสาะ ค่อยๆ คลานไปแบบสบายๆ เนื่องจากกลัวล้ม ไม่กลัวเจ็บ แต่กลัวเสียตัง 55555 ขับมาสักพักก็เจอป้ายอ่าวโตนด อ้าว สงสัยจะขับเลยตามสไตล์ครับ ถึงว่าทางโหดจัง คงหลงมาไกลเลยขับต่อมาจนถึง อ่าวโตนดแบบทุลักทุเล 

 

หาดที่ตั้งชื่อตามชื่อของต้นโตนดที่มีอยู่ต้นเดียวในเกาะเต่า เป็นจุดดําน้ำลึก ชมปะการัง และฝูงปลาสวยงาม ที่นี่สวยงามตามท้องเรื่องครับ เป็นหาดทรายมีหินก้อนใหญ่ ค่อนข้างเงียบสงบและน้ำใสมากจนต้องขอเดินเล่นอยู่สักพักใหญ่เดินขึ้นจากหาดโตนดมาเอารถแล้วก็เปิดแผนที่ใหม่ดูทางเลี้ยวให้มั่นใจ ขับกลับไปทางหฤโหด 

 

สักพักจะเจอป้ายทางเลี้ยวเล็กมากๆ เขียนว่า Luek Beach สังเกตดีๆ ไม่งั้นได้เลยอีกรอบแน่ เลี้ยวลงมาจากทางหลักไม่นาน ข้างทางจะเต็มไปด้วยแนวทุ่งหญ้าหิน เป็นทางสู่จุดหมายแห่งความสวยงามแบบลืมทะเลทุกที่ไปเลยกับหาดขาว น้ำทะเลสีฟ้าเขียว ตรงตามคอนเซ็ปต์ทะเลในอุดมคติ คนเงียบ

 

มีที่นั่งพักฟรีในร่มให้อ่านหนังสือ ผมประทับใจที่นี่มากเลยปักหลักนอนเล่น ถ่ายรูป ซึมซับบรรยากาศให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เนื่องจากมีที่ร่มให้หลบแดด แถมลมยังเย็นมากๆ แต่ช่วงที่ไปเป็นช่วงลมพัดเข้าเกาะแรง จึงทําให้ขยะเยอะกว่าปกติ แต่ก็ยังสวยมากๆ อยู่ดี 

ดูนาฬิกาอีกทีก็บ่าย 2 แล้ว จึงตัดสินใจไปต่อเพราะมีเวลาน้อยขับรถวนไปเรื่อยๆ ก็มาเจอ หาดทรายแดง ที่เงียบและค่อนข้างสวย เม็ดทรายเนียนละเอียดของที่นี่จะออกเป็นสีแดงเล็กน้อยสมกับชื่อหาด 

 

เหมาะสําหรับนอนเล่นอาบแดด นอนอ่านหนังสือก็ฟินไม่น้อย ต่อมาเป็นที่ที่ฮิตที่สุดเนื่องจากไปง่ายทางค่อนข้างสะดวก อ่าวฟรีดอมบรรยากาศค่อนข้างจะสนุกสนาน มีฝรั่งค่อนข้างเยอะ ไม่เหงาแน่นอนถึงขั้นวุ่นวายซะด้วยซ้ำ 

 

บนหาดมีร้านขายอาหารมากมาย แถมมีปิงปองทะเลให้เช่ามาเล่นด้วย ถ้าใครกลัวเหงาหาดนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีมาต่อกันที่ หาดโฉลกบ้านเก่า อ่าวที่อยู่ทางใต้ของเกาะเต่าหันหน้าไปทางเกาะพะงันเป็นหาดสุดท้ายของวัน หาดส่วนตัวที่เป็นคล้ายๆ ท่าเรือ 

 

เพราะมีร้านอาหาร และโรงเรียนสอนดําานําาอยู่ที่ชายฝั่ง เพลิดเพลินกับหาดนี้อยู่สักแป๊บก็ยอมแพ้อากาศร้อนๆ กลับโฮสเทลมาพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวไปชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งเป็นจุดพีคของทริปนี้เลยกับภาพพระอาทิตย์ ณ หาดทรายรี สวยงามกว่าที่วาดฝันไว้มาก พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้ามีฉากหลังเป็นต้นมะพร้าว นอนทอดยาวสบายใจ 

 

ผมดื่มด่ำกับพระอาทิตย์ตก พร้อมทบทวนความคิดว่าเกิดมาตั้ง 20 กว่าปี มีโอกาสดูตั้ง 8,000 กว่าครั้ง แต่จะมีสักกี่ครั้งที่คนเราจะเทความสนใจให้กับเวลาความสวยงามของตะวันลับฟ้าอย่างจริงๆ จังๆ ณ ตอนนี้ท้องฟ้าแบ่งเป็นสองสี สีฟ้ากับสีแดงผสมกลมกลืนกันขับแสงสุดท้ายให้สวยงามที่สุด 

 

ก่อนจะหลีกทางให้พระจันทร์และดวงดาวได้มาทําหน้าที่แทนเมื่อแสงสุดท้ายหมดก็ถึงเวลาลอยคอ เอ้ย รอคอย เวลาของการปาร์ตี้ ช่วงเย็นบรรยากาศเปลี่ยนไปความร้อนเริ่มจางหาย ลมเย็นๆ พัดกระทบร่างกาย 

 

ถึงเวลาทํางานของดาวและพระจันทร์ กินข้าวเติมพลังให้เรียบร้อยราตรีนี้ยังอีกยาวไกล เป็นเวลาของคนรักการสังสรรค์ หรือใครจะไปดูการแสดงเล่นไฟแก้เหงา จะเลือกเดินเล่นชายหาด ดูดาวเพลินๆ นั่งทอดอารมณ์ ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ชมดาวนับพันบนท้องฟ้าระยิบระยับก็ได้ แม้จะฟ้าเดียวกัน แต่ก็ต่างกับกรุงเทพฯ ลิบลับมาก

 

Day 3 

อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่แสนสดใส ที่มีแพลนไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ความขี้เกียจมากระซิบข้างหูว่าอย่าไปเลย นอนสบายกว่า ผมก็เป็นคนเชื่อคนง่ายครับ นอนต่อถึง 8 โมงถึงจะลุกมาอาบน้ำ เช็คเอาท์นํารถที่เช่ามาไปคืน 

 

สําหรับวันนี้เราจะซื้อ One Day Trip เพื่อดำน้ำและเที่ยวเกาะนางยวน พาหนะวันนี้เป็นเรือ 2 ชั้น นั่งเรือมาไม่นานก็มาถึงที่แรก Shark Bay หรือ อ่าวฉลาม ที่มีลักษณะเป็นยอดหินแกรนิตโผล่มาจากใต้น้ำ เป็นจุดชมฉลามมีแต่ฉลามจริงๆ ครับ แต่ตัวไม่ใหญ่มาก ถ้าโชคดีก็อาจได้เจอฉลามตัวใหญ่ 

 

จุดนี้มีเวลาดําน้ำประมาณ 30 นาที แบบเพลินๆ แต่ไม่โอ้เอ้เพราะยังมีจุดดําน้ำอีก 3-4 จุด ปะการังและสิ่งมีชีวิตตามจุดต่างๆ จะแตกต่างๆ กันไป บางจุดก็มีปลาเยอะ แต่รับประกันความสวยงามทุกจุดวันนี้

 

เรามาปิดท้ายที่ Unseen In Thailand ณ เกาะนางยวน เกาะเล็กๆ ที่อยู่ทางทิศเหนือของเกาะเต่า ด้วยวิวสวยๆ ของเกาะเล็กๆ 3 เกาะ ถูกเชื่อมเข้าหากันด้วยสันทรายสีขาว ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าใส จนกลายเป็นทะเลแหวกขาวสะอาดตา ทอดยาวไปกับท้องฟ้าสีคราม 

ที่นี่มีความสวยงามและอุดมสมบูรณ์มาก น้ำทะเลใส ทรายนุ่มเท้า ปนเศษหอยสวยๆ เราจะมีเวลา 2 ชั่วโมงบนเกาะนางยวน ขอแนะนําให้ขึ้นจุดชมวิว ทางชันมากแต่ทางเป็นบันไดปูนจึงหมดกังวลเรื่องความอันตราย 

 

มาถึงจุดชมวิวก็หายเหนื่อยเลยครับกับภาพหินก้อนใหญ่ยื่นออกจากภูเขา เห็นวิวทั้งหมดของเกาะแบบพาโนราม่าสวยสุดใจลาก่อนเกาะนางยวน ใช้เวลาไม่นานก็กลับถึงเกาะเต่าอีกครั้ง 

 

อยากจะบอกว่าอยู่กับทุกเวลาให้มีความสุขเพราะถึงเวลาเราก็ต้องจากมา ไม่ช้าก็เร็ว เช่นเดียวกับผมที่ไม่กี่นาทีก็ต้องอําลาเกาะเต่าแล้วนั่งเรือกลับเข้าแผ่นดินใหญ่ คืนนั้นผมไม่ได้ออกไปดูดาว เนื่องจากความเหนื่อยล้า พอมาเจอเบาะนุ่มนิ่มแสนสบายบนเรือนอน ก็ดูดพลังหลับสนิทจนถึงเช้าวันใหม่ 

 

เสียงเรือดัง ครืนนนน ไฟในห้องนอนโดยสารเปิดขึ้น หนุ่มใหญ่ หนุ่มน้อย ก็ลุกขึ้นเมาขี้ตา เก็บข้าวของ เตรียมตัวลงเรือ แล้วก็มาต่อรถไฟเพื่อกลับกรุงเทพฯ แบบไม่รีบร้อนตามสไตล์คุณพี่รถไฟเขาล่ะแม้เป็นทริปแสนสั้นแต่ความทรงจํานั้นมากมาย อีกทั้งยังเป็นการจุดประกายความแข็งแกร่งในการเที่ยวคนเดียว รู้สึกได้เลยว่าเที่ยวคนเดียวสนุกกว่าที่คิดไว้ 

 

การนั่งรถไฟฟรีไม่ใช่เพียงแค่ความประหยัด มันทําาให้ได้พบกับสังคมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีโอกาสได้เจอในชีวิตประจําวัน การเที่ยวคนเดียวทําให้ได้คิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง และได้สัมผัสความรู้สึกใหม่ๆ เสมอ อย่ากลัวในสิ่งที่ไม่เคยทํา เปิดโลกให้กว้าง ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราต้องเรียนรู้ครับ



สนับสนุนเนื้อหา โดย

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook