Japan (Made) In Bangkok 1 วันกำลังดี...แอบหนีไปเที่ยว "ญี่ปุ่น" แป๊บเดียว
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/tr/0/ud/278/1393695/sam_0717.jpgJapan (Made) In Bangkok 1 วันกำลังดี...แอบหนีไปเที่ยว "ญี่ปุ่น" แป๊บเดียว

    Japan (Made) In Bangkok 1 วันกำลังดี...แอบหนีไปเที่ยว "ญี่ปุ่น" แป๊บเดียว

    2014-11-10T23:30:07+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    ใครๆ ก็ฝันอยากไปเที่ยว "ญี่ปุ่น" ผมเองก็เช่นกัน เพราะการไปเที่ยวญี่ปุ่นในยุคนี้แสนสะดวก ไม่ต้องขอวีซ่า ราคาค่าตั๋วเครื่องบินก็ประหยัดขึ้น พอๆ กับค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ย่อมเยาลงกว่าเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่จะได้เห็นพาสปอร์ตของนักเดินทาง ต่างมีตราประทับผ่านเข้าประเทศญี่ปุ่นเป็นของที่ระลึก

    เฮ้อ....ที่เกริ่นมาเสียดิบดีตั้งแต่ต้น จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นอย่างที่ตั้งใจหรอกนะครับ เมื่อความฝันถึงการลากกระเป๋าเข้าไปเช็คอินเจแปน ต้องพับเก็บไว้ ผมจึงต้องหาวิธีบำบัดชีวิตนักเดินทางที่ขาดหายไปด้วยการไปเที่ยว "ญี่ปุ่น" แบบใกล้ๆ สไตล์ No Passport , No Visa and No Money

    นี่เลยครับ Japan Town หลายคนอาจรู้จัก และเคยไป "โอไฮโย " กันมาแล้ว แต่ผมเพิ่งเคยไปครั้งแรก Japan Town ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 33/1 นี่เองครับ เห็นไหมครับว่าใกล้กว่ากรุงเทพฯ ไปโตเกียวมหาศาล เพราะระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปโตเกียวประมาณ 4 พันกว่ากม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชม.ให้เทียบกันยังไง อนุสาวรีย์ชัยฯ ไปสุขุมวิท 33/1 ก็ใกล้กว่ากันเยอะ

    เพื่อให้ใกล้เคียงกับการเดินทางแบบคนญี่ปุ่น ผมจึงเลือกไป Japan Town ด้วยรถไฟฟ้า BTS (นึกเสียว่านั่งชินคันเช็น) ผมนั่งรถไฟฟ้า BTS จากสถานีอโศก ไปยังสถานีพร้อมพงษ์สถานีเป้าหมายเสียเงินไปแค่ 15 บาท เมื่อออกจากรถไฟฟ้าก็เดินไปที่ทางออกที่ 2 ทางออกเดียวกับไปห้างเอ็มโพเรียม แต่ต้องเดินลงบันไดฝั่งตรงข้าม จากนั้นเดินย้อนขึ้นไปทางแยกอโศกเพื่อไปยังซอยสุขุมวิท 33/1

    ระหว่างทางผมสังเกตเห็นชาวญี่ปุ่นเดินสวนมาเรื่อยๆ บ้างจูงลูกเล็ก กระเตงลูกแดง บ้างมาเป็นคู่ หรือกลุ่มเพื่อน ทำให้เริ่มรู้สึกว่าย่านนี้เต็มไปด้วยชาวญี่ปุ่นจริงๆ เมื่อถึงปากซอยก็สังเกตเห็นว่า Japan Town หรือซอยญี่ปุ่นมีระยะทางสั้นๆ ประมาณแค่ 300 เมตรเท่านั้น...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ เพราะทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในซอย ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคล้ายคนต่างถิ่น เพราะทั้งซอยเต็มไปด้วยคนญี่ปุ่น

    ผมไปถึงที่นั่นตอนเที่ยงพอดี ท้องจึงเริ่มร้อง ตลอดสองฝั่งจากปากซอยเต็มไปด้วยร้านราเมง และร้านอาหารที่ตกแต่งทางเข้าหน้าร้านแบบญี่ปุ่น ประดับป้ายไม้ โคมไฟกระดาษ และธงผ้า ผมตั้งใจจะเดินไปให้สุดซอยก่อน แล้วค่อยเลือกว่าจะเสียเงินให้ร้านไหน พอเดินไปเกือบสุดซอย ผมสังเกตเห็นร้านบะหมี่ Tomato Noodle เป็นร้านห้องกระจกเล็กๆ ไปยืนดูราคาอาหารหน้าร้านแล้วพอสู้ไหว จึงตัดสินใจดันประตูเข้าไป

    ในร้านเต็มไปด้วยชาวญี่ปุ่น บ้างกำลังนั่งซดบะหมี่ บ้างกำลังเลือกอาหารจากเมนู ผมไปคนเดียวพนักงานจึงแนะนำให้ไปนั่งเคาน์เตอร์บาร์ ซึ่งก็ดีครับ ผมจะได้เห็นวิวนอกร้าน ผู้ชายที่นั่งข้างๆ ผมเป็นชาวญี่ปุ่นกำลังนั่งกินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย พนักงานยกน้ำมาเสิร์ฟ พร้อมรอจดรายการอาหาร ผมพลิกเมนูดูก็มีจำพวกข้าวหน้าต่างๆ บะหมี่ ราเมง

    โดยทางร้านจัดอาหารไว้ตามไซส์ ตั้งแต่ S, M, และ Lราคาก็เพิ่มขึ้นตามขนาด ผมไปคนเดียว เลยสั่งข้าวหน้าหอมญี่ปุ่นหมูย่างไซส์ S

    ไม่นานพนักงานยกข้าวมาเสิร์ฟ หน้าตาอาหารดูดีทีเดียวครับ ข้าวญี่ปุ่นเม็ดกลมนุ่มกำลังดี รสชาติหอมญี่ปุ่นคลุกเคล้ากับหมูย่างเค็มๆ หวานๆ เข้ากับรสข้าว ผมเหยาะพริกไทยเพิ่มเล็กน้อยเพื่อลดความเลี่ยนของหนังหมู ระหว่างคีบข้าวคำต่อคำ ผมก็เพลินไปกับชีวิตชาวญี่ปุ่นด้านนอกที่เดินกันกวักไขว่ หลังอิ่มท้องเช็คบิลค่าอาหารผมเสียเงินค่าข้าวไป 110 บาท (ราคาไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะครับ)

    จากนั้นผมตั้งใจไปเดินตากแอร์เล่นในร้านขายของที่ตั้งอยู่ติดกับร้านบะหมี่ ร้าน Neo เป็นร้านขายของ 3 ราคามีตั้งแต่ราคา 60,80 และ 100 บาท แม้ผมจะเคยไปเดินร้าน Neo สาขาอื่น แต่ Neo สาขานี้มีของเยอะและหลากหลายกว่า ของบางอย่างทำให้ผมคิดว่า "ต้องมี ต้องใช้ ด้วยหรือ" อย่างถุงเท้าใส่ขาเก้าอี้ ขาโต๊ะ หรือที่ใส่กล้วยหอม แต่ดีครับผมชอบวิธีคิดแก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ของคนญี่ปุ่น เพราะมันสะท้อนถึงการใส่ใจกับรายละเอียดของชีวิต

    ผมเดินตากแอร์อยู่สักพัก ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในร้าน มีชาวญี่ปุ่นเดินเข้าออก จับจ่ายซื้อของกันเรื่อยๆ แต่ผมไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมาสักอย่าง พอร่างกายเริ่มเย็นสบายผมก็คิดว่าจะออกไปเดินเล่นต่อ โดยเป้าหมายถัดไปคือร้านหนังสือ Key Book ร้านหนังสือมือสองที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม หน้าร้านมีกระบะหนังสือลดราคาตั้งอยู่ ผมเลยข้ามถนนไปดู

    ในกระบะมีหนังสือภาษาญี่ปุ่นลดราคาเต็มไปหมด เสียดายที่ผมอ่านไม่ออกสักเล่ม ได้แต่เปิดดูภาพ มีราคาตั้งแต่ 5 บาท ไปจนถึงหลักหลายร้อยบาท มีทั้งพ็อคเก็ตบุค การ์ตูน นิทาน และแมกกาซีน เท่าที่สังเกตคนญี่ปุ่นสนใจอ่านหนังสือกันพอสมควร เพราะผมเห็นมีชาวญี่ปุ่นเดินเข้าออกร้านหนังสือตลอด และในซอยนี้ยังมีร้านหนังสือมือสองตั้งอยู่ห่างๆ กันอีกหลายร้าน แต่ที่ผมประทับใจมากคือเด็กญี่ปุ่นก็ชอบอ่านหนังสือ เห็นได้จากน้ำเสียงรบเร้าให้พ่อ แม่ซื้อหนังสือให้

    ผมตระเวนเข้าออกร้านหนังสืออยู่ในซอยนั้นสักพัก ก่อนจะเปลี่ยนบรรยากาศไปเดินเล่นในซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ประจำซอย UFM Fuji Super ที่นี่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น น่าตื่นเต้นมากครับ ซูเปอร์มาร์เก็ตที่เต็มไปด้วยของกิน ของใช้จากประเทศญี่ปุ่น ผมเดินเล่นวนไปวนมาทุกล็อค แต่หลักๆ คือล็อคขายขนม ชา และอาหาร

    ช่วงเวลาบ่ายๆ แบบนั้นบรรดา แม่บ้านชาวญี่ปุ่นพากันออกมาเลือกซื้อของใช้ ของสดกลับที่พัก ผมจึงได้ยินเสียงบทสนทนาภาษาญี่ปุ่นแวดล้อมรอบๆ ตัวเต็มไปหมด

    ผมเดินดูของอยู่สักพัก จนสุดท้ายได้เพียงขนมญี่ปุ่นออกมากล่องเดียว หน้าตาขนมที่ว่านี้เหมือนลูกชิ้น แต่ทำจากแป้งสีขาวปั้นเป็นลูกกลมๆ เสียบไม้ แล้วราดด้วยซอสอะไรสักอย่าง แกะกินแล้วต้องเบ้ปาก เพราะรสชาติไม่ไหวครับ เหมือนกินแป้งต้มราดน้ำตาล

    เท่าที่สังเกตขนมหวานของคนญี่ปุ่นมักทำจากแป้ง ถั่วแดง ไร้รสชาติหวาน มัน เค็ม ไม่เหมือนบัวลอย ข้าวเหนียวมะม่วงแบบไทยๆ หรอกครับ ถูกปากกว่ากันเยอะ

    หลังผิดหวังกับรสชาติขนมญี่ปุ่น ผมจึงเดินออกมาเรื่อยๆ จนเกือบถึงปากซอย ก็สังเกตเห็นร้านๆ หนึ่งเป็นร้านขายเบเกอรี่เล็กๆ แต่มีคนอยู่ข้างในเยอะแยะ ด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็นจึงเดินเข้าไปบ้าง โอ้โห ...ในร้านเต็มไปด้วยเบเกอรี่ หน้าตาน่ากินมาก ที่สำคัญราคาไม่แพงด้วย

    ร้าน Custard Nakamura เป็นร้านเบเกอรี่ญี่ปุ่นที่เปิดมานานแล้ว ผมเดินวนดูอยู่ไม่รู้จะเลือกอะไรมีทั้งแฮมเบอร์เกอร์ แซนวิชหมูทอด ทีรามิสุ เค้กหน้าต่างๆ จนผมไปสะดุดตากับ "ชูครีม" ขนมขึ้นชื่อของร้าน ไหนๆ มาถึงถิ่นต้องลองชิมซะแล้ว

    ชูครีมของร้านนี้อร่อยมาก แป้งด้านนอกไม่เละ กัดแล้วเนื้อครีมด้านในเต็มคำ ที่สำคัญไม่หวานจนเกินไป แถมยังหอมกลิ่นนม เนย ชวนให้อยากซื้อเพิ่มอีกสักกล่อง แต่ท้องผมอิ่มเต็มที่แล้ว จากนั้นผมเดินกินชูครีมไปพร้อมๆ กับเก็บภาพบรรยากาศซอยญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ จนถึงปากซอย...เวลาผ่านไปเร็วเหมือนกันนะครับ กับระยะทางในซอยแค่ไม่กี่ร้อยเมตร แต่ผมใช้เวลาอยู่ในนั้นจนเกือบเย็น

    แม้ Japan Town จะเป็นชุมชนคนญี่ปุ่นขนาดย่อม แต่ก็ทำให้คนที่ไม่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่น ทั้งอัธยาศัยใจคอ ความสุภาพ ความมีระเบียบ นิสัยรักการอ่าน รสชาติอาหาร สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกดี แม้จะเป็นแค่ Japan Made in Bangkok ก็ตาม

    เรื่อง : Suwimol

    อัลบั้มภาพ 17 ภาพ

    อัลบั้มภาพ 17 ภาพ ของ Japan (Made) In Bangkok 1 วันกำลังดี...แอบหนีไปเที่ยว "ญี่ปุ่น" แป๊บเดียว