วันฝนพรำกับอ้อมกอดของเขื่อนเชี่ยวหลาน

วันฝนพรำกับอ้อมกอดของเขื่อนเชี่ยวหลาน

วันฝนพรำกับอ้อมกอดของเขื่อนเชี่ยวหลาน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในวันที่ต้องฟังแต่ข่าวฟ้าฝน และน้ำท่วมหนัก หัวใจของคนเดินทางคงรู้สึกห่อเหี่ยวและไม่รู้จะไปทางใด แต่เรามีสถานที่อยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งคุณสามารถปล่อยอารมณ์ปล่อยใจให้ชุ่มฉ่ำไปกับ สายน้ำ ขุนเขา และเมฆหมอก ที่เขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี


ในช่วงที่สายฝนยังคงซัดสาดแบบไม่ว่างเว้น ทีมงานของเราตัดสินใจอย่างหนักแน่นว่า อย่างไรๆ เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือเขื่อนรัชชประภาจะต้องโอบอุ้มร่างกายของนักเดินทางได้อย่างไม่มีผิดหวัง ดังนั้น ภารกิจแรกของการท่องเที่ยวแบบผิดแปลกฤดูกาลจึงเริ่มต้นขึ้นกับการจองตั๋ว ที่ครั้งนี้เราขอพาคุณเดินทางไปกับการรถไฟแห่งประเทศไทย สำหรับราคาค่าตั๋วรถไฟตู้นอนจากสถานนีหัวลำโพงไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานีจะตกอยู่ที่ประมาณคนละ 700 บาท โดยพวกเราเลือกออกสตาร์ทกันในยามดึก เพื่อที่รุ่งอรุณหมู่นักเดินทางจะได้เจอะเจอกับเช้าวันใหม่ ณ จุดหมายปลายทาง

แม้จะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว แต่รถไฟตู้นอนจากเมืองกรุงลงสู่ภาคใต้ก็ค่อนข้างหนาแน่นไปด้วยกลุ่มผู้สัญจรชาวต่างชาติ ที่แบกเป้สะพายเป๋ากันมาจนหลังแอ่น ซึ่งหลายพ่อพันแม่ขนาดนี้ เราขอแนะนำให้คุณเตรียมแม่กุญแจตัวเล็กๆ สำหรับล็อคกระเป๋าเป้ไปด้วย ส่วนเจ้าพวกสิ่งของมีค่าแนะนำให้นำติดตัวไปตลอด เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สิน เพราะตู้นอนชั้นสองของการรถไฟจะมีเพียงม่านบางๆ เป็นสิ่งพลางตาข้าวของต่างๆ จากเหล่ามิจฉาชีพ สิ่งที่เราอยากชักชวนให้เหล่านักเดินทางกระทำอย่างยิ่งยวดขณะเดินทางด้วยรถไฟ คือการเดินเพลินๆ ไปยังตู้เสบียงที่แม้สนนราคาค่าอาหารอาจจะแพงไปสักนิด แต่รับรองเลยว่า บรรยากาศในตู้เสบียงและเบียร์เย็นๆ จะทำให้การมองวิวชองสองข้างทางน่ารื่นรมย์ไม่ใช่น้อย ยิ่งตกดึกราวๆ สักห้าทุ่มเศษ สวิตไฟก็จะถูกดับลง จากนั้น แสงนวลๆ วาวๆ วิบวับ ไม่ต่างกับไฟเธคก็จะเริ่มสาดส่องให้คำคืนของการเดินทางน่าจดจำ  อีกสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่งหากตั้งเดินทางด้วยเครื่องจักรบนหมอนไม้คือ การตั้งนาฬิกาปลุก เพราะแม้จะมีการแจ้งชื่อสถานนี้ที่รถจะเทียบชานชาลา แต่ก็มีหลายคนหลับเพลินจนเลยป้าย ดังนั้น ตั้งเวลาปลุกก่อนถึงจุดหมายแล้วตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน เพื่อมองความงามของเมืองไทยจะดีที่สุด

เมื่อรถไฟเข้าเทียบสถานนีพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็เป็นอันว่า กลุ่มนักเดินทางต้องเตรียมหารถรา เพื่อมุ่งหน้าไปยังเขื่อนรัชชประภา ซึ่งถ้าจะนั่งรถตู้จากสถานนีรถไฟก็จ่ายเพียงแค่คนละ 200 บาท แต่ถ้าอยากขับรถเองก็ไปไม่ยาก เพียงวิ่งไปทางโรงพยาบาลท่าโรงช้าง จากนั้นจะเจอป้ายบอกทางไปจนเจอเขื่อน โดยสองข้างทางที่พบผ่านจะมีทั้ง หน้าผา ต้นไม้ และภาพการใช้ชีวิตแสนเรียบง่ายของชาวบ้านเป็นเสมือนคำทักทายให้เหล่านักท่องเที่ยงรู้สึกเย็นใจค่าทำเนียบในการเข้าสู่อ้อมกอดของเขื่อนเชียวหลานจะตกอยู่ที่คนละ 40 บาท ซึ่งจ่ายค่าเสียหาไม่ทันไร ก็มีเสียงหวานๆ จากคนของแพภูตะวันที่เราได้จองห้องหับมาทักทายให้ลงเรือไม้ลำเล็ก เพื่อเข้าสู่ที่พัก ณ กลางขุนเขา เรือไม้ค่อยๆ แล่นออกจากฝั่ง สายลมเย็นๆ เริ่มกระทบผิวหนัง จากนั้น ภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำเอาใจชื้น เพราะน้ำสีคราม ฟ้าสีขาว เมฆหมอกบางๆ กับหุบเขาสีเขียวคือ ความงามที่ต้องบอกเลยว่า "เมืองไทยสวยสุดๆ"

เป็นเวลากว่า 30 นาที ในที่สุด พวกเราก็เข้าสู่อ้อมกอดของแพภูตะวัน แพไม้ล็กๆ ที่ทอดตัวยาวรอนักท่องเที่ยวมาปล่อยใจไปกับสายน้ำที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าในวันที่ทีมงานเดินทางไปถึงจะมีละอองฝนโปรยปรายเกือบตลอดทั้งวัน แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะสนุกกับสายฝนและน้ำใสแจ๋วในเขื่อนใหญ่ เมื่อจัดข้าวของเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่จะลงเล่นน้ำ ซึ่งน้ำที่นี่นอกจากจะลึกจับจิต ก็ยังใสดั่งกระจกชวนให้หลงไหลไปกับความงาม จนบางคนอาจสนุกแล้วลืมตัว ดังนั้น เสื้อชูชีพอย่าให้ห่าง และเมื่อเพลินกับการเริงร่าไปได้หน่อย เจ้าบ้านก็ตะโกนเรียกให้กลุ่มนักท่องเที่ยวมารับประทานอาหารมื้อเที่ยงที่เราต้องขอซูฮกให้กับความอร่อย ทั้งผัดผัก แกงจืด ผัดพริก หรือแม้แต่ปลาทอด ทุกอย่างล้วนอร่อยจนแทบจะเขมือบจานไปทั้งใบ

อิ่มหนำสำราญกับมื้อเที่ยงไปแล้ว ก็มาต่อกับกิจกรรมสนุกๆ อย่างเรือถีบและเรือแคนู ที่คุณสามารถพายไปชมความงามของธรรมชาติได้แบบติดขอบสนาม เพราะถ้านำเรือออกไปยังโค้งเขาด้านหลังแพ จะมีช่วงที่น้ำตื้นมองเห็นต้นเฟิร์นเขียวๆ โดนมีความฟ้าใสของน้ำมาปกคลุม ส่วนด้านข้างของเขาคือพุ่มไม้ไผ่ ที่เมื่อไปถึงก็ควรนำเรือเข้าไปรอดผ่าน แหมมม...เพลินใจจริงๆ จ้วงซ้าย จ้วงขวา ไม่ทันไรก็เป็นอันว่า หมดแรง ดังนั้น เปลี่ยนชุดแล้วรอมื้อเย็นน่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของนักท่องเที่ยวชาวกรุง

แต่ แต่ แต่ นอนแพแล้วห้องอาบน้ำละอยู่ไหน ยังไม่สิ้นเสียงของความสงสัย เสียงกรี๊ดเพราะค้างคาวก็ดังสนั่นจากแพแม่ที่มีทางเชื่อไปยังตีนเขา ซึ่งที่มาของเสียงคือ ห้องน้ำ ที่เรากำลังถามถึง ซึ่งการจะอาบน้ำอาบท่าก่อนหิ้วท้องไปดินเนอร์ขอแนะนำให้รีบเร่งก่อน 5 โมงเย็น เพราะที่นี่ไม่มีไฟฟ้า กว่าจะปั่นไฟให้มีแสงสว่างก็ต้องรอราวๆ 1 ทุ่ม และที่สำคัญที่แพกลางเขื่อนก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เช่นกัน ดังนั้น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ต้องการพักผ่อน เมื่ออาบน้ำให้เนื้อตัวหอมสะอาด ก็เป็นอันว่า ท้องเริ่มหิว แต่สำหรับมื้อดึกอาจล่าช้าสักนิด เพราะต้องรอเรือนำสัตว์บก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ หรือผักสด จากฝั่งฝาเข้าส่งมายังแพ แต่ก็อย่ากลัวว่า ความหิวจากการรอคอยต้องทำให้มื้อเย็นน่าเบื่อ เพราะคุณสามารถสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ มานั่งจิบหน้าแพที่พัก หรือจะนั่งมองความงามของห้วงหุบเขาและสายน้ำในยามเย็นย่ำก็เพลินใจได้ไม่แพ้กัน

เหม่อมองดูความงามของเมืองไทยไม่ทันไร กลิ่นหอมโชยๆ ก็มาเตะเข้าที่จมูก กับมื้อใหญ่ที่มากพร้อมด้วยอาหารหน้าตาน่ารับประทาน ซึ่งมื้อนี้นอกจากจะมีอาหารวางเต็มโต๊ะแล้ว ก็ยังมีของเด็ดอยู่ที่บาร์บีคิวจานร้อน ซึ่งจะคอยเสริฟให้แขกผู้มาพักได้ลิ้มรสกันตลอดทั้งค่ำคืน

กิจกรรมส่งท้าย ก่อนจะหลับฝันในค่ำคืนนี้ ยังคงเป็นการนั่งตากลมเย็นๆ กับฟังเสียงหมู่มวลแมลงครวญเพลงอยู่หน้าแพลอยน้ำ ซึ่งในเช้าวันใหม่เราจะพาคุณไปทักทายกับอีกหนึ่งสถานที่ที่ว่ากันว่า สวย จนต้องกลับไปซ้ำ สถานที่แห่งนั้นจะเป็นแห่งใด เอาเป็นว่า ลองปล่อยใจแล้วหลับตาฝัน จากนั้น ล้มตัวลงนอนแล้วกล่าวคำหวาน "ราตรีสวัส" และเมื่อลืมตาเราจะพาคุณไปสัมผัสกันต่อ

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook.. ได้ที่นี่เลย!!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook