บินไปบินกลับ ขับรถเที่ยวเชียงคาน
'เงียบสงบ เรียบง่าย ไม่วุ่นวาย' สำหรับผมอาจหมายถึงที่ไหนสักแห่งในเมืองไทย ที่ใจอยากออกเดินทางไปค้นหา ไกลพอให้รู้สึกผ่อนคลาย และชิลล์ได้จนไม่รู้สึกเงียบเหงาจนเกินไป คราวนี้ผมเลือกจะตามไปหาสายหมอกในช่วงปลายฝนต้นหนาว ท่ามกลางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตเรียบง่ายน่ารักของผู้คนริมแม่น้ำโขง เมืองเล็กๆ ที่กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไม่ต่างจากปาย หรือ อัมพวา นั่น คือ อ. เชียงคาน จ. เลย
ยิ่งความสะดวกของการเดินทางในยุคสมัยนี้มีมากมายเหลือเกินครับ ทั้งเครื่องบิน รถไฟ รถขนส่งมวลชน รวมถึงรถส่วนตัว แต่คราวนี้ผมเลือกเดินทางมาเยือนเมืองน่ารักเงียบสงบอย่างเชียงคาน แบบย่นระยะเวลาในการขับรถ (เพราะลางานมาเที่ยวกับเพื่อนซี้แค่ 3 วัน 2 คืน เกรงว่าถ้าขับรถมามาเองจากกรุงเทพฯ แบบรีบไปรีบกลับ จะเหนื่อยและไม่สนุกจนเกินไป) เลยตัดสินใจนั่งเครื่องบินมาลง สนามบินนานาชาติอุดรธานี จากนั้นก็ขอใช้บริการรถเช่าของ Budget สาขาอุดรธานี เพื่อเดินทางไปต่อยัง เชียงคาน ด้วยเวลาแค่นิดเดียว
วันเดินทาง ผมกับเพื่อนไปขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองกันแต่เช้าตรู่ ถึงสนามบินนานาชาติอุดรธานีในเวลาสายๆ พอลงจากเครื่องปุ๊บ ก็มีเจ้าหน้าที่จาก ศูนย์บริการรถเช่า Budget มาต้อนรับ พร้อมแนะนำในการใช้งานรถเช่าอย่างละเอียด ซึ่งครั้งนี้ผมเลือกใช้บริการรถขนาดเล็ก เพราะเดินทางไปเที่ยวกับเพื่อนเพียงสองคน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามเจ้าหน้าที่ว่า 'ขึ้นภูเขาได้หรือเปล่า' เพราะผมมีโปรแกรมจะขึ้นไปดูทะเลหมอกบนภูทอกด้วย พนักงานพยักหน้าแล้วตอบว่า ได้ครับพี่ เพราะภูเขาที่นี่ไม่สูงมาก รถเล็กๆ ขื้นได้สบาย ใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก เราขับรถมาถึง เชียงคาน ในช่วงบ่ายๆ ผมเลือกขับรถชมเมืองรอบคร่าวๆ ก่อนที่จะตรงบึ่งไปที่พัก ซึ่งครั้งนี้ผมหาข้อมูลจากกูเกิ้ลและโทร.จอง ที่พักจากกรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ( แนะนำว่า ถ้าเพื่อนๆ มาเที่ยวเชียงคานในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือหยุดยาว ให้ที่จองที่พักมาก่อนล่วงหน้า เพราะที่พักส่วนใหญ่จะเต็มเกือบทุกที่) โดยเลือกที่พักริมถนนชายโขง ซึ่งเป็นบ้านไม้โบราณสองชั้น ตกแต่งกระจุกกระจิ๊ก ในห้องนอนพอเปิดหน้าต่างออกไปปุ๊บ ก็เห็นวิวแม่น้ำโขงยิ้มกว้างตอนรับอยู่ตรงหน้า ว้าว! บรรยากาศสวยโรแมนติกเว่อร์!
ปั่นจักรยานชมถนนริมโขง เดินเล่นถนนคนเดินเชียงคานยามค่ำคืน
เก็บสัมภาระกันเรียบร้อย ผมกับเพื่อนก็ไม่รอช้า ออกร่อนไปเช่าจักรยาน จากร้านเช้าจักรยานแถวๆ ที่พัก ปั่นชมเรือนไม้โบราณที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมถนนชายโขงเป็นอันดับแรก เพราะนี่คือเอกลักษณ์และเสน่ห์แห่งหนึ่งของเมืองเชียงคานที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาเยือน เรือนไม้โบราณเหล่านี้เจ้าของเดิมส่วนใหญ่เป็นคนจีนที่มาทำมาค้าขาย แต่ภายหลังถูกทิ้งร้างไว้ เพราะวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของชาวบ้าน 2 ฝั่งแม่น้ำโขง แม้ในบางช่วงเวลาจะถูกละเลยไปบ้าง แต่เจ้าของเดิมก็พยายามทุกวิถีทางที่จะรักษาเอาไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมมากทีสุด และจากการถูกทิ้งร้างไว้หลายสิบปีนี่เอง ระะหว่างทางที่เราปั่นจักรยานกันไปเรื่อยๆ แม้บ้านไม้จำนวนไม่น้อยจะถูกดัดแปลงเป็นร้านขายของฝาก โรงแรม โฮมสเตย์ แต่เราก็ได้เห็นบรรยากาศเก่าๆ ของเมืองทั้งเมืองคล้ายกับถูกสตัฟฟ์เอาไว้ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ยังคงมีชีวิตรอให้เข้าไปให้คุณค่าจากวันเวลาๆ เก่าๆ ได้อย่างดี
หลังจากเที่ยวชมบ้านไม้โบราณเสร็จก็เป็นเวลาแดดร่มลมตก พวกเราก็ชวนกันไปเดินทอดน่องต่อด้านหลังถนนชายโขง ถนนสายเล็กๆ ที่ปูด้วยอิฐตัวหนอนยาวกกว่า 2 กิโลเมตร เมื่อมองข้ามไปอีกฟากฝั่งจะเห็นทัศนียภาพอันงดงามริมแม่น้ำโขง ซึ่งทำหน้าที่แบ่งดินแดนระหว่างไทย-ลาว และบ้านเรือนของพี่น้องทางฝั่งลาวได้ ก่อนนั่งมองดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าหายไปท่ามกลางขุนเขาสลับซับซ้อน และลมเย็นๆ ที่พัดโชยมาตลอดเวลา ไม่อยากบอกเลยว่าชิลล์ที่สุดอ่ะ!
กลับที่พักอาบน้ำแปลงร่างเสร็จ ก็เป็นเวลาเย็นย่ำสำหรับการชวนกันไปเดินชมความงามของบ้านโบราณยามต้องแสงไฟประดับประดาสวยงาม ถนนชายโขงที่เคยเป็นเส้นทางมุ่งหน้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในตอนกลางวันกลายเป็น ถนนคนเดินเชียงคาน ที่มีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมายในราคาไม่แพง มีทั้งงานไอเดียทันสมัยและของโบราณที่หาชมยาก ของประดับน่ารักชิ้นเล็กไปจนถึงของตกแต่งบ้านชิ้นใหญ่สวยงาม ที่คุณสามารถเดินซื้อได้อย่างเพลิดเพลิน และไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน เพราะตลอดเส้นทางเดินเท้าถนนคนเดินเชียงคาน มีร้านอาหารมากมาย รวมถึงร้านขนมโบราณรสชาติอร่อยและขนมพื้นบ้านที่หากินได้ยากที่นี่ที่เดียว
ตักบาตรข้าวเหนียว ขับรถเที่ยวแก่งคุดคู้
เมื่อคืนพวกเรานอนหลับสบายมาก แม้ที่พักของเราจะไม่มีแอร์ แต่อากาศเชียงคานยามฝนตกพรำๆ ก็เย็นสบายตลอดทั้งคืน เช้านี้เราตื่นกันตั้งแต่เช้ามืด เพื่อออกไปตักบาตรข้าวเหนียว ทำบุญรับอรุณยามเช้า กิจกรรมสุดฮิต ที่ว่ากันว่า ถ้ามาเชียงคานแล้วไม่ได้ตักบาตรข้าวเหนียว อาจถูกแซวว่า มาไม่ถึงเชียงคานเอานะ ซึ่งพระสงฆ์ที่เชียงคานจะออกบิณฑบาตรยามเช้า เวลาประมาณตีห้าครึ่งถึงหกโมงเช้า โดยชาวบ้านและนักท่องเที่ยวทุกคนจะแต่งตัวกันแบบสุภาพ คือผู้ชายใส่กางเกงขายาว ส่วนผู้หญิงควรนุ่งผ้าถุง ไม่ควรใส่กางเกงหรือกระโปรงสั้น โดยนักท่ิิองเที่ยวสามารถสั่งจองชุดใส่บาตรได้จากที่พักหรือโฮมสเตย์ หรือจะมาซื้อที่ร้านค้าแถวๆ ที่พักก็ได้
การตักบาตรข้าวเหนียวของคนเชียงคานจะแตกต่างกับการตักบาตรของคนในเมืองที่ใส่ทุกอย่างทั้งข้าวเปล่า ข้าวสาร อาหารแห้ง หรือแม้กระทั่งใส่ปัจจัยหรือเงินทำบุญลงไปในบาตร แต่สำหรับชาวเชียงคาน จะใช้เฉพาะข้าวเหนียวเท่านั้นใส่ลงไปในบาตร ส่วนอาหารอื่นๆ ชาวบ้านจะนำไปถวายที่วัด ด้วยธรรมเนียมการตักบาตรแบบนี้นี่เอง นักท่องเที่ยวจึงเรียกว่า การตักบาตข้าวเหนียว ซี่งกลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของเมืองนี้ไปแล้ว
‘ตำซั่วด๊องแด๊ง'
ผมกับเพื่อนตักบาตรข้าวเหนียวกันตรงหน้าที่พักกันจนอิ่มใจ ก็ปั่นจักรยานออกไปหาของอร่อยๆ กินในตัวเมืองเชียงคาน ที่มีของกินให้เลือกแบบละลานตามาก ไม่ว่าจะเป็น ‘ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว' ลักษณะเป็นขนมจีนใส่เครื่องในแล้วใส่น้ำซุปคล้ายๆ กับต้มเลือดหมู มีเครื่องเคียงเป็นผักสดท้องถิ่นจิ้มกับกะปิ บางคนจะนำข้าวเหนียวที่เหลือจากการใส่บาตรมากินร่วมด้วยก็อร่อยดีไปอีกแบบ อาหารที่ขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งก็คือ ‘ตำซั่วด๊องแด๊ง' เป็นส้มตำนี่แหละ แต่ใส่เส้นขนมจีนที่มีลักษณะพิเศษคือเหมือนเส้นลอดช่องตัวเล็กๆ เรียกว่า "เส้นด๊องแด๊ง" เข้าไปนั่นเองหรือจะเป็น ‘ร้านบะหมี่เฟื่องฟ้า' ที่เส้นบะหมี่เป็นเส้นไข่ที่ทางร้านผลิตขึ้นมาเอง
อิ่มแล้วก็ได้เวลาควงแขนไปเที่ยวแก่งคุคคู้กันต่อ แก่งนี้อยู่ห่างจากเชียงคาน 5 กิโลเมตร เป็นแก่งหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขง ช่วงโค้งของลำน้ำโขงพอดี ทำให้เกิดกระแสน้ำเชี่ยวไหลผ่านแก่ง ในวันที่เราไปน้ำเยอะมาก มองไม่เห็นแก่งทีเดียว (เวลาที่เหมาะจะชมแก่งคุดคู้คือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาที่น้ำแห้งมองเห็นเกาะแก่งชัดเจนมีโค้งสันทรายริมแม่น้ำ) แต่เราก็ไม่หมดสนุก เพราะนอกจากจะมีวิวสวยๆ อากาศดีให้ได้เชยชมแทนเรา เรายังชวนกันเช่าเรือนั่งรถชมทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำโขงกันสบายใจเฉิบ เสร็จเล้วก็ขึ้นมาหา ไก่ย่าง ส้มตำ ลาบ กินกันจนแซบ! สมกับที่มาเที่ยวเยือนเชียงคานถิ่นอีสานเลยล่ะ ขับรถกลับมาพักเหนื่อยใกล้ๆ ทีพัก ด้วยการนวดเแผนไทยแบบเบาๆ ที่ร้านคิดถึง ณ. เชียงคาน ที่การันตีให้ได้เลยว่านวดดีจริงๆ ราคาก็ไม่แพง ชอบหนักเบาบอกป้าเจ้าของร้านได้เลย
มาอยู่เชียงคานยังไม่ถึงสองวัน ผมกับเพื่อนอดรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคนที่นี่ไม่ได้ เพราะการเดินเล่นบนถนนคนเดิน ไม่ว่าจะยามเช้า หรือยามเย็นก็แสนจะมีความสุข ได้ยินคุณตาคุณยาย พ่อค้าแม่ค้าทักทายด้วยสำเนียงภาษาอีสานกันแบบน่าฮักๆ (น่ารักๆ) อยู่ตลอดทาง แม้กลางวันอากาศที่นี่จะร้อนอบอ้าวไปบ้าง แต่ลมเย็นๆ ที่พัดเอื่อยจากแม่น้ำและความยิ้มแย้มแจ่มใสของชาวบ้าน ก็เพิ่มความสุขให้มากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ขับรถชมทะเลหมอกภูทอก แวะซื้อของฝากโดนใจ
เช้าวันสุดท้าย ผมกับเพื่อนมีโปรแกรมไปเที่ยว ภูทอก จุดชมวิวที่ขึ้นชื่อที่สุดของเชียงคาน โดยเฉพาะช่วงเช้าจะมีทะเลหมอกขาวปกคลุมเกือบทั้งเทือกเขา ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์อย่างเต็มปอด พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศที่แสนสดชื่น และยังสามารถชมวิวพระอาทิตย์ได้ทั้งขึ้นและตก เรียกได้ว่า สวยงามไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวใดๆ ในเมืองไทยเลยทีเดียว ซึ่งเราควงพาหนะคู่ใจออกเดินทางจากตัวเมืองเชียงคานกันแต่ฟ้ายังไม่สาง โดยใช้เวลาขับรถประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ไปถึงยอดภูทอก ซึ่งเส้นทางระหว่างขึ้นไปภูทอกนั้น ถนนดีมากๆ รถเล็กอย่างเราก็ขึ้นได้ หรือหากมาเที่ยวกันเองก็มีรถกระบะให้บริการอยู่ด้านล่าง อากาศบนภูทอกนั้นเย็นสบายมาก และมีพื้นที่กว้างพอสมควรให้นักท่องเที่ยวยืนชมทะเลหมอก ท่ามกลางขุนเขาสลับซับซ้อนและวิวแม่น้ำโขงได้สุดสายตา นักท่องเที่ยวหลายคนใช้ช่วงเวลานี้หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพกันเป็นที่ระลึกทั้งหมู่และเดี่ยว รอจนกระทั่งพระอาทิตย์อุ่นขึ้นมาอีกหน่อย เราจึงโบกมือลาภูทอกกลับไปตัวเมืองเชียงคานเพื่อเก็บสัมภาระเดินทางกลับแวะซื้อของฝาก
เราขับรถไปแวะซื้อของฝาก ซึ่งเป็นของดีของเด่นของเชียงคาน ก็คือ ผ้านวมนุ่มๆ ผืนอุ่นๆ ที่ทำด้วยมือ ซึ่งเมื่อก่อนทำกันเกือบทุกหลัง แต่ปัจจุบันคนนิยมปลูกฝ้ายกันน้อยลง ปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่ร้าน แต่ร้านที่หลายคนแนะนำ คือ ร้านนิยมไทย และซื้อของกินง่ายๆ อย่าง ‘แหนมหมูยายเพ็ญ' ร้านบ่วยเฮียง หน้าวัดศรีคุนเมือง พร้อมหาซื้อ ‘มะพร้าวแก้ว' รสชาติหวานหอม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์โอทอปของเมืองเชียงคานไปฝากเพื่อนๆ คนละถุงสองถุงด้วย
ขอบอกว่า ในช่วงเวลา 3 วัน 2 คืน ที่แม้จะยังไม่เที่ยวเมืองเชียงคานไม่ทั่ว แต่เรารู้สึกเพลิดเพลินกับการเดินทางด้วยรถเช่าของ Budget ที่ขับสบาย และไม่เกเรเลยสักนิด ทำให้เราเที่ยวได้แบบสบายใจ และมีความสุขมากๆ ปลายฝนต้นหนาวนี้ หากมีเวลาไปพักผ่อนสัก 3 วัน อย่าพลาดไปเที่ยวเชียงคานและเก็บเกี่ยวความประทับใจกลับไปจากเชียงคานกันนะครับ
เรื่องและภาพ: ธนปกรณ์ สุขสาลี
(คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)
แวะชมแหล่งท่องเที่ยว เกาะช้าง เชียงคาน ภูเก็ต เขาใหญ่ และ ปาย
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook.. ได้ที่นี่เลย!!