จาก '90s ถึง 2020 : อะไรทำให้ "วินซ์ คาร์เตอร์" จะเป็นนักบาสฯ คนแรก ที่เล่นถึง 4 ยุค?

จาก '90s ถึง 2020 : อะไรทำให้ "วินซ์ คาร์เตอร์" จะเป็นนักบาสฯ คนแรก ที่เล่นถึง 4 ยุค?

จาก '90s ถึง 2020 : อะไรทำให้ "วินซ์ คาร์เตอร์" จะเป็นนักบาสฯ คนแรก ที่เล่นถึง 4 ยุค?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ณ เมืองโตรอนโต้ ประเทศ แคนาดา อันแสนหนาวเหน็บ มีทีมบาสเก็ตบอลทีมหนึ่งที่เพิ่งก่อตั้งในปี 1995 ออกสตาร์ทช้ากว่าชาวบ้านเขา และความสำเร็จก็ไม่มีเป็นชิ้นเป็นอัน ... โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส คือทีมแรกที่ NBA ขายแฟรนไชส์ให้กับกลุ่มทุนจากแคนาดา แน่นอน พวกเขาห่างไกลจากยอดทีมแห่งยุคเดียวกันอย่าง ชิคาโก้ บูลส์ ในยุคที่มีพระเจ้าอย่าง ไมเคิล จอร์แดน หลายปีแสง และมักจะโดนทีมอื่นๆ ดูถูกเป็นประจำ เพราะ แคนาดา คือประเทศที่แทบจะไม่รู้จักบาสเก็ตบอลในวันที่ทีมเริ่มก่อตั้งขึ้น เพราะผู้คนชื่นชอบการเล่นฮ็อคกี้น้ำแข็งมากกว่า

อย่างไรก็ตามทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มประกอบก่อร่างสร้างตัวขึ้นทีละนิดในแต่ละปี จนกระทั่ง 3 ปีหลังจากเริ่มเล่นใน NBA พวกเขาก็ได้รู้จักเด็กวัยรุ่นที่เปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้พร้อมใจเชียร์โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส ... "เจ้าชายแห่งฟลอริด้า" คือฉายาของเขาในตอนที่ยังเล่นในระดับกับมหาวิทยาลัย นอร์ธแคโลไรน่า เขาคนนั้นคือ วินซ์ คาร์เตอร์

อันที่จริง วินซ์ คาร์เตอร์ ถูกดราฟต์เข้าลีกในอันดับ 5 ของปี 1998 โดย โกลเด้น สเตท วอร์ริเออร์ส แต่มีการแลกตัวกับ แอนทอน เจมิสัน ดราฟต์อันดับ 4 ในปีเดียวกันของ โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส ก่อนจะสร้างเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมากมายตลอดช่วงชีวิต บัดนี้ผ่านมาแล้ว 21 ปี แต่จะเรียกเขาว่าตำนานในตอนนี้ก็ยังไม่ถูกต้องนัก เพราะคำว่าตำนานนั้นมีไว้สำหรับผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่และวางมือไปแล้ว แต่สำหรับ วินซ์ ในวัย 41 ปี เขาคือนักบาสเก็ตบอล NBA ที่อายุมากที่สุดในยุคปัจจุบัน และยังคงเป็นผู้เล่นของ แอตแลนต้า ฮอว์กส์ ในทุกวันนี้ และการต่อสัญญาฉบับล่าสุดทำให้เขาจะเป็นนักบาสหนึ่งเดียวที่ผ่านมาเกมมา 4 ยุค เริ่มตั้งแต่ '90, มิลเลเนียม หรือ 2000, 2010 และ 2020 ในปีหน้า

การเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลในลีกที่ใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง NBA นับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และการที่มีนักบาสเกตบอลที่อายุอานามมากถึง 41 ปี และใกล้จะแตะ 42 ปีอยู่มะรอมะร่อแต่ยังสามารถประกอบอาชีพนี้อยู่ได้จนถึงปัจจุบันนั้น นับว่าเป็นเรื่องไม่ธรรมดา และมันจะต้องมีเหตุผลแน่นอนที่ทำให้ วินซ์ คาร์เตอร์ สามารถทำมันได้

90' ถึง มิลเลเนียม : เก่งจนเป็นปรากฎการณ์
การจะเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลที่ดีได้แน่นอนว่าคุณจะต้องมีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งและมีความสามารถทีพิเศษซ่อนอยู่ในตัว สำหรับ วินซ์ คาร์เตอร์ เขาคือผู้เล่นที่มีท่าไม้ตายติดตัวมาตั้งแต่สมัยยังไม่ได้เล่นลีกอาชีพเลยด้วยซ้ำนั่นคือ สปริงข้อเท้าที่ทรงพลังเหลือเชื่อ เขากระโดดได้สูงกว่าใครจนเข้าถูกเรียกว่า "Half-Man, Half-Amazing" หรือ "ครึ่งคนครึ่งมหัศจรรย์"

000_apw2000021309259
วินซ์ เข้ามาเล่น NBA ครั้งแรกให้กับ แร็ปเตอร์ส ในช่วงที่ไม่มีผู้เล่นคนไหนอยากจะโดนดราฟต์มาโตรอนโต้ พวกเขามักจะถูกล้อว่าพวก “บาร์นี่ย์ก้นใหญ่” จากสัญลักษณ์ของทีมที่เป็นไดโนเสาร์เหมือนกับละครซิตคอมสำหรับเด็กน้อย แต่ปีแรกของ วินซ์ กับ แร็ปเตอร์ส กลับเป็นปีที่ใครไม่เคยคาดคิด เขาผสานงานร่วมกับ เทรซี่ แม็คเกรดี้ จนตัวของเขานั้นได้เป็น รุกกี้ ออฟ เดอะ เยียร์ แถมยังได้ฉายาว่า "เงาของจอร์แดน" และเมื่อทั้งสองคนท็อปฟอร์มคู่หู วินซ์ และ ทีแม็ค มักจะถูกกล่าวอ้างว่าเหมือนกับการผสานกันของ จอร์แดน กับ สก็อตตี้ พิพเพ่น เลยทีเดียว

ลีลาการดังค์ของ วินซ์ นั้นไม่เหมือนใคร ไม่ใช่เพียงแค่กระโดดสูงเท่านั้น แต่เขาลีลาการจัดท่าทางการดังค์ที่สุดเพอร์เฟ็คต์ และด้วยสไตล์เช่นนี้ทำให้เขาเลือกที่จะลงแข่งขันในรายการสแลมดังค์ ในเกมออลสตาร์ปี 2000 โดยใครต่อใครที่อยู่ในการแข่งขันวันนั้นต่างบอกว่าสิ่งที่ วินซ์ ทำคือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

"ตอนแรกผมคิดจะลงแข่งบ้าง แต่พอเห็น วินซ์ ลงแข่งผมตัดความคิดนั้นทิ้งเลย ผมเป็นเพื่อนร่วมทีมของเขา ผมเห็นเขาซ้อมทุกวัน ซ้อมด้วยกันทุกเซสซั่น ดังนั้นผมจะลงแข่งไปทำไมล่ะเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเขาจะชนะ" เทรซี่ แม็คเกรดี้ คู่หูของ วินซ์ กล่าว

สแลมดังค์คอนเทสต์ ในปีนั้นเป็นไปตามคาด วินซ์ คาร์เตอร์ ชนะการแข่งขันด้วยการยอมรับแต่โดยดีจากทุกฝ่าย ทุกลีลาการดังค์ในปี 2000 ยังถูกพูดถึงจนถึงทุกวันนี้ และนั่นคือจุดเปลี่ยนแบบจริงจังที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากผู้เล่นที่เก่ง สู่การเป็นผู้เล่นชั้นซูเปอร์สตาร์ สิ่งที่ยืนยันว่าเขาเป็นเช่นนั้นคือ วินซ์ ได้สัญญาก้อนโตจาก พูม่า ที่อยากจะตีตลาดบาสเก็ตบอลด้วยการออกรองเท้ารุ่นพิเศษชื่อรุ่นว่า "วินแซนนิตี้" ที่มาจากฉายาอีกฉายาหนึ่งของ วินซ์ คือรองเท้าบาสเก็ตบอลของ พูม่า ที่ขายดีที่สุด

"เขาเป็นนักดังค์ที่สุดยอดมาก MJ อาจจะทำได้ยอดเยี่ยมจนกลายเป็นดังค์แห่งยุค รวมถึง ‘ด็อคเตอร์ เจ’ ด้วย แต่สิ่งที่ วินซ์ ทำผมไม่รู้จะใช้คำไหนจริงๆ นอกจากคำว่าโคตรเหลือเชื่อ" แม้แต่ยอดผู้เล่นอย่าง โคบี้ ไบรอันท์ ยังยอมซูฮก

000_apw2000021309255
ไม่ใช่แค่เรื่องในสนามเท่านั้น วินซ์  คาร์เตอร์ ยังทรงอิทธิพลไปทั้ง โตรอนโต้ เพราะนับตั้งแต่เข้ายุคมิลเลเนียมเป็นต้นมา โตรอนโต้ กลายเป็นเมืองที่สื่อจากฝั่งอเมริกาเข้ามาถ่ายทำวิดีโอเพื่อโปรโมตหรือถ่ายภาพยนตร์ต่างๆ และเมื่อความสนใจมากเข้า แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ใน แคนาดา ที่เคยทุ่มทุนให้กับทีมฮ็อคกี้ก็ไม่อาจจะมองข้ามที่บาสเก็ตบอลประจำเมืองทีมนี้ได้อีกแล้ว วินซ์ เป็นคนชิงมันมาจากฮ็อคกี้น้ำแข็งและตัวเขายังกลายเป็นนายแบบสินค้าในแคนาดาอีกไม่รู้กี่ชิ้นต่อกี่ชิ้น

พูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ วินซ์ เข้าอยู่กับทีมในยุค '90 จนถึงช่วงต้นของยุคมิลเลเนียม เขากลายเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่ทำลายกำแพงวัฒธรรมได้ เขาคือคนที่ทำให้ โตรอนโต้ กลายเป็นเมืองที่สามารถพูดได้เต็มปากว่ากระแสบาสเก็ตบอลกำลังบูมถึงขีดสุด

มิลเลเนี่ยม ถึง 2010 : ทศวรรษแห่งการเรียนรู้
ไม่ว่าใครก็ต่อต้านกับชื่อเสียง, เงินทอง และ บารมี ได้ยาก... จริงอยู่ที่ วินซ์ คาร์เตอร์ มีฝีมือขั้นเทพจนมีฉายาเกิดขึ้นต่างๆมากมาย แต่ในช่วงกลางยุคมิลเลเนี่ยมเป็นต้นมาเขากลับลืมไปว่าเขาเกิดมาจากสิ่งไหน จะบอกว่าทัศนคติของเขาเริ่มจะแย่ลงก็คงไม่ผิดนัก และเหนือสิ่งอื่นใดเกิดความอิจฉาจากคู่หูอย่างเทรซี่ แม็คเกรดี้ ทีเป็นญาติกัน เพราะยิ่ง วินซ์ ดังมากเท่าไหร่ ทีแม็ค ก็รู้สึกว่าตัวของเขาและความสำคัญต่อทีมลีบเล็กลงเท่านั้น

image
แร็ปเตอร์ส เริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้น พวกเขาทั้งคู่อาจจะพา แร็ปเตอร์ส เข้าสู่เพลย์ออฟเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีม ทว่าเมื่อดันสุดชีวิตแล้วแต่ก็ไปได้ไม่สุด แร็ปเตอร์ส ไม่เคยได้แชมป์เลยสักสมัย จึงทำให้ ทีแม็ค อยากจะออกไปฉายเดี่ยวบ้างแล้ว และเขาก็ย้ายไปอยู่ ออร์ลันโด้ เมจิค ในปี 2000 เขาทำให้แฟนๆ ของ แร็ปเตอร์ส ฝันค้างเพราะอยากจะเห็นทั้งคู่ร่วมงานกันไปอีกนานๆ และช่วยพาทีมคว้าความสำเร็จ

การออกไปของ ทีแม็ค เหมือนเป็นการชูให้ วินซ์ เป็นพระเอกเต็ม 100% และได้สัญญา 6 ปีมูลค่า 94 ล้านเหรียญฯ ในปี 2001 ตอนนั้นพวกนักข่าวเรียกทีมยุครุ่งเรืองของ แร็ปเตอร์ส ว่า "Success during the Vince Carter era" (ความสำเร็จในยุคสมัยของ วินซ์ คาร์เตอร์)  แน่ล่ะ เพราะเขายิ่งดังค์มหัศจรรย์มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งถูกยกยอมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามสัจธรรมของโลกนี้ไม่ว่าเรื่องใดนั่นก็คือ "เหรียญมี 2 ด้าน" นอกจากนักข่าวจะอวย วินซ์ อย่างเต็มที่แล้ว ก็มีอีกกระแสหนึ่งที่พยายามเล่นข่าวปั่นประสาทของเขาด้วยการพาดพิงว่า "วินซ์ เป็นพวกเก่งแต่ดังค์" อย่างอื่นไม่ได้เรื่อง...

แม้คำวิจารณ์จะเป็นสิ่งที่ซูเปอร์สตาร์ทุกคนต้องเจอ แต่ วินซ์ มีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีนักกับสิ่งนี้ เขามีอาการงอนอย่างเห็นได้ชัดและประกาศจะเลิกดังค์ในการแข่งขันไปเลยด้วยซ้ำ ซึ่งสิ่งที่เขาเอามาทดแทนคือการชู้ต 3 แต้ม ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่ทางถนัดของเขา ดังนั้นการงอนจึงเกิดขึ้นได้ไม่นาน สุดท้ายเขาก็กลับมาหากินกับการทำแต้มด้วยการดังค์ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ตามเคย

000_apw2000021309257
ราศีความเป็นซูเปอร์สตาร์ของ วินซ์ทำให้เขากล้างัดกับคนอื่นๆ เพิ่มขึ้น เขาต่อรองกับบอร์ดบริหารให้ช่วยดึงเอาผู้เล่นเก่งๆ มาอยู่ในทีมเพิ่มเพื่อหาโอกาสเป็นแชมป์สักครั้งแต่แล้วก็ไม่มีการตอบสนองจากบอร์ดแต่อย่างใด หลังจากนั้น วินซ์ ก็ฟอร์มหลุดไปดื้อๆ เขาเล่นเป็นคนละคนจนถูกคาดเดาไปว่าพยายามจะเล่นให้อ่อนลงเพื่อประชดบอร์ดบริหาร นอกจากนี้เขายังไม่ค่อยถูกกับ แซม มิตเชลล์ โค้ชของทีมอีกด้วย และที่สำคัญเขาเคยสร้างวีรกรรมงามหน้าด้วยการย่องเงียบไปรับปริญญาในวันเดียวกับที่มีการแข่งเกมที่ 7 ของรอบรองชนะเลิศสายตะวันออกปี 2001 ที่ต้องเจอกับ ฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอร์ส ที่มี อัลเลน ไอเวอร์สัน นำทัพ และกลับมาก่อนแข่งเพียง 5 ชั่วโมง … จริงอยู่ว่าเพื่อนร่วมทีมไม่ติดใจอะไร แต่มันน่าจะส่งผลกับความเหนื่อยสะสมไม่น้อย เมื่อเขาชู้ตพลาดในจังหวะสุดท้ายและ แร็ปเตอร์ส ก็ตกรอบไปในที่สุด เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เขาวางตัวเป็นขาใหญ่อย่างเต็มตัวเลยทีเดียว

ที่สุดแล้วแม้สัญญาจะมีระยะเวลานานถึง 6 ปี แต่ วินซ์ กับทีมสร้างชื่ออย่าง แร็ปเตอร์ส ก็ไปกันได้ไม่สุดทาง เขาถูกเทรดให้กับ นิวเจอร์ซี่ย์ เน็ตส์ ในปี 2004 ก่อนจะย้ายไป ออร์ลันโด้ เมจิค และ ฟีนิกซ์ ซันส์ แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำมากมายนัก เพราะปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนเขาไม่น้อยในทศวรรษนี้

000_dv1324225
วินซ์ คาร์เตอร์ อาจจะมีเรื่องราวเกิดไม่ดีเกิดขึ้นบ้างแต่อย่างน้อยมันก็เป็นช่วง 10 ปีที่เขาได้เรียนรู้ ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งผิดใจกับโค้ชลดน้อยลง และความมุ่งมั่นทุ่มเทก็ดูเหมือนจะมีมากขึ้น และนี่คือข้อดีจากการโดนตำหนิและได้บทเรียนสำคัญเพื่อวันข้างหน้าของเขา และในที่สุดเขาก็ได้โอกาสเล่นในเกมชิงแชมป์สายเป็นครั้งแรกในปี 2010 ด้วยการพา ออร์ลันโด้ เมจิค เข้าไปเจอกับ บอสตัน เซลติกส์ แม้ว่าที่สุดแล้วจะต้องพ่ายแพ้ไป แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการเรียนรู้ความผิดพลาดจากช่วงวัยรุ่นทำให้เขามาถึงจุดนี้ได้

ตั้งแต่ปี 2000-10 วินซ์ คาเตอร์ ยังติดทีมออลสตาร์ของ NBA ถึง  7 สมัยซ้อน อย่างไรก็ตามเขายังไม่เคยสวมแหวนแชมเปี้ยนเลยแม้แต่หนเดียว ในขณะเดียวกันอายุของเขาเดินทางมาถึงวัย 33 ปีอันเป็นช่วงอายุที่นักกีฬาอาชีพเริ่มจะเดินทางมาถึงช่วงขาลงแล้ว หลายคนเลิกไป แต่สำหรับ วินซ์ คาร์เตอร์ เขายังไม่เชื่อว่านี่คือตอนจบของการเป็นนักบาส NBA ของเขา

2010-2019 ปรับตัวและเปลี่ยนแปลง
ทุกอย่างนั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลง เมื่ออายุเริ่มมากขึ้นแถมมาอาการบาดเจ็บจากช่วงวัยรุ่นทำให้ วินซ์ คาร์เตอร์ เริ่มหันมามองตัวเองใหม่อีกครั้งว่าด้วยสังขารในเวลานี้เขายังทำอะไรได้บ้าง?

000_dv1322749
เขาอาจจะยังดังค์แบบสุดโหดได้อยู่บ้าง แต่มันก็เป็นการเล่นที่ดูดพลังงานของเขาลงไปเยอะ แถมเสี่ยงจะทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บเข้าไปอีก ดังนั้นนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์, เมมฟิส กริซลี่ส์, ซาคราเมนโต้ คิงส์ และปัจจุบันกับ  แอตแลนต้า ฮอว์กส์ จึงเป็นช่วงที่วินซ์ ใช้พลังน้อยลงแต่ใช้ไหวพริบและเทคนิคให้มากขึ้น ด้วยการหาท่าไม้ตายใหม่ทีเหมาะสมกับวัยอย่างเขา และท่าไม้ตายนั้นคือการชู้ต 3 แต้ม อันเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของเขาสมัยยังเป็นวัยรุ่นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว

"โอ้ยคุณ ตอนหนุ่มๆ นี่การดังค์ของผมง่ายพอๆ กับการลุกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ ถ้าทำตอนนี้ผมคงไม่เหลือโควต้าให้ทำอะไรแล้วล่ะ แต่มันไม่ใช่ปัญหาอะไรหนักหนาหรอก ก็แค่ร่างกายมันถดถอยลงเท่านั้นเอง" เขากล่าวไว้เช่นนั้น

การเปลี่ยนสไตล์ตามวัยส่งผลอันเป็นรูปธรรม ปัจจุบัน วินซ์ คาร์เตอร์ กลายเป็นผู้เล่นที่ยิง 3 แต้มทำคะแนนได้มากที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับ 6 ของ NBA ด้วยการทำไปทั้งหมด 2,202 ครั้งตลอดชีวิตการเล่นอาชีพ (สถิติอัพเดท มีนาคม 2019)

02carter1-articlelarge
การเปลี่ยนท่าไม้ตายนั้นฟังดูเหมือนง่ายดาย แต่ความจริงแล้ว วินซ์ ต้องเปลี่ยนทัศนคติในการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมดนั่นคือการรู้จักที่จะเตรียมตัวก่อนแข่ง, การดูแลตัวเอง และสุดท้ายคือการวางเป้าหมายให้ชัดเจนที่สุด

"เมื่อถึงวันหนึ่งคุณก็จะเป็นต้องลองทำในสิ่งใหม่ๆ ดูบ้างนะ ผมเริ่มกลับมาฟังเสียงจากร่างกายของตัวเอง และผมเข้าใจว่าผมเริ่มทำอะไรได้ช้าลงกว่าแต่ก่อนเยอะเลยทีเดียว" เขายอมรับกับสิงที่เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่การยอมแพ้ให้กับสังขารแต่อย่างใด

คาร์เตอร์ กล่าวกับสื่อด้านสุขภาพอย่าง Men’s Journal ว่านับตั้งแต่รู้ว่าตัวเองร่างกายไม่เหมือนแต่ก่อน เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการมาถึงสนามการแข่งขันก่อนลงสนามราวๆ 3-4 ชั่วโมง เพื่อเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจสิ่งสำคัญที่สุดการยืดกล้ามเนื้อเพื่อให้มันมีความคงทนขึ้นและสามารถรับมือกับการแข่งขันได้ยาวนานขึ้น ขณะที่เรื่องการกินนั้นเขาปรับเปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะเขาแทบจะเลิกกินอาหารฟาสต์ฟู้ดเหมือนกับตอนเป็นหนุ่มเลย และเครื่องดื่มก็จะถูกเว้นที่ให้เฉพาะน้ำเปล่าเท่านั้น ลืมไปได้เลยที่เขาจะแตะเครื่องดื่มของอเมริกันชนที่รสหวานเจี๊ยบอย่าง มิลค์เชค

ท้ายที่สุดคือเรื่องของการตั้งเป้าหมาย วินซ์ คาร์เตอร์ สามารถทำเรื่องที่น่าเบื่ออย่างการดูแลตัวเองและควบคุมอาหารมาติดๆ กันหลายปีได้โดยไม่ตบะแตกก็เพราะว่าเขามีเป้าหมายที่ชัดเจน แม้แต่กระทั่งช่วงปิดฤดูกาลเขายังต้องเวลาเขายิมเพื่อรักษารูปร่าง และหาโปรแกรมฟื้นฟูร่างกายตัวเองด้วยการใช้งานเครื่องมือยุคใหม่อย่าง Cryotherapy ที่เป็นการบำบัดร่างกายด้วยความเย็น ซึ่งราคาแพงหูฉี่แต่ วินซ์ ก็ไม่ลังเลที่จะซื้อมาไว้ที่บ้าน เหตุผลง่ายๆ นั่นก็เพราะว่าเขาเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอยากจะเลิกเล่นบาสเก็ตบอลอาชีพเมื่อไหร่ บวกกับความฝันที่จะได้สวมแหวนแชมป์ยังแจ่มชัดเสมอ ดังนั้นเขาต้องทำตัวเองให้พร้อม

9363881_web1_ap_1727100967126
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่กล่าวมา วินซ์ คาร์เตอร์ จึงทำลายสถิติของ คารีม อับดุล จาบาร์ ที่เลิกเล่นไปในวัย 42 ปีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเจ้าของสถิติเสือเฒ่า NBA ในปัจจุบันคือ แนต ฮิคกีย์ ซึ่งเลิกเล่นในวัย 45 ปี กับอีก 363 วัน  แม้จะยังดูห่างไกล แต่ไม่แน่ วินซ์ คาร์เตอร์ อาจจะก้าวข้ามสถิตินี้ก็เป็นได้ หากร่างกายยังไม่ทรยศเขา และเขาเองยังพยายามเหลาทุกสิ่งที่ตัวเองมีให้เฉียบแหลมขึ้นอย่างในทุกวันนี้

และเมื่อปฏิทินปี 2020 เริ่มขึ้น สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดจะถูกเรียกว่าประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง บางครั้งราชาก็ไม่จำเป็นต้องสวมมงกุฎเสมอไป ผู้เล่นที่ดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีดีกรีแชมป์เสียเมื่อไหร่ ตัวอย่างง่ายๆ ก็ วินซ์ คาร์เตอร์ คนนี้นี่ไงล่ะ!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook