"เจาะลึก 5 ประเด็นร้อน" หลังเกม แข้งไทย พ่าย อินเดีย
เอเชียนคัพ 2019 กลุ่มเอ นัดแรก
ทีมชาติไทย 1-4 ทีมชาติอินเดีย
สนาม อัล นาห์ยาน สเตเดี้ยม
5. ราเยวัช จัดทีมแบบเน้นเกมรุก (เสียที) ทว่ากลายเป็นระเบิดเวลาในแดนกลาง
รูปแบบการเล่นของ ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทีมของ มิโลวาน ราเยวัช ขึ้นชื่อในเรื่องการให้ความสำคัญกับเกมรับมาก่อนเป็นอันดับแรกนับตั้งแต่ที่กุนซือชาว เซอร์เบีย เข้ามารับงานกับ ทัพช้างศึก ตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อน
มิดฟิลด์ตัวรับแท้ๆ อย่าง ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ถูกจับไปอยู่บนม้านั่งสำรองโดยมี ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ประสานงานกับ สรรวัชญ์ เดชมิตร ที่แดนกลาง และ ชนาธิป สรงกระสินธ์ เป็นเพลย์เมคเกอร์สอดส่ายหาบอลอยู่ระหว่างไลน์
แผนการเล่นดังกล่าวดูจะได้ผลในครึ่งแรกแม้จะตกเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อนจากลูกจุดโทษอุบัติเหตุ แต่โดยรวมแล้ว ไทย ยังเป็นฝ่ายครอบครองบอลได้มากกว่าและเดินหน้าหาช่องเข้าทำจากทีเด็ดของ ชนาธิป หลายต่อหลายครั้ง ก่อนที่ระเบิดเวลาจากการพยายามโหมรุกเข้าใส่โดยไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับธรรมชาติจะไปตูมตามเอาในครึ่งหลัง
4. แนวรุกที่รวดเร็วของ อินเดีย กลายเป็นตัวจุดชนวน
เริ่มครึ่งหลังมาได้เพียงไม่ถึง 1 นาที ทำนบเกมรับของ ทีมชาติไทย ก็มาแตกลงอีกครั้งจากการเสียบอลที่กลางทาง บอลถูกย้อนที่กราบซ้ายก่อนปาดเข้ากลางไปถึง สุนิล เชตรี วิ่งควบแซงคู่กลางในเวลานั้นอย่าง สรรวัชญ์ และ ฐิติพันธ์ เข้ามาวิ่งยิงจังหวะแรกเป็นประตู 2-1
และจากภาพด้านบน แม้จะเปลี่ยนเอา ธีราทร ขยับมาเล่นเป็นกองกลางตัวจ่ายบอลทำเกมหลังจากนั้นก็ไม่วายถูกเจาะประตูเช่นเคยเพราะการเสียบอลที่กลางสนาม ฐิติพันธ์ หลุดตำแหน่งจากความพยายามเติมขึ้นไปเล่นแดนบน เจ้าอุ้ม ไม่สามารถขยับเข้าปิดช่องการจ่ายบอลได้ทัน และท้ายที่สุดกลายเป็น ธาปา ที่อยู่ระหว่าง ธีราทร และ เฉลิมพงษ์ ในจังหวะนี้สอดเติมขึ้นไปรับบอลที่ถูกส่งย้อนหลังคืนมายิงกลายเป็นประตู 3-1
3. ความพยายามในการเร่งจังหวะเข้าทำที่ดูไม่เป็นธรรมชาตินัก
แม้การเล่นในครึ่งแรกจะเป็นเกมที่ ทีมชาติไทย เล่นได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจจากการเข้าทำที่รวดเร็ว แต่หลายครั้งหลายคราที่พวกเขาพยายามเร่งจังหวะต่อเนื่อง จนบางครั้งดูจะกลายเป็นการโอเวอร์โหลดธรรมชาติของตัวเองอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เสียงนกหวีดเริ่มเกมการแข่งขัน
ไม่ว่าจะด้วยแท็คติกของ ราเยวัช ที่ต้องการให้ ไทย ได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วเพื่อคลายความกดดันหรือไม่นั้นก็ยากที่จะคาดเดา แต่ท้ายที่สุดมันกลายเป็นการเซตจังหวะเกมของ ช้างศึก ที่ทำให้พวกเขาถึงกับตั้งหลักไม่อยู่เมื่อถูกเสยปลายคางกับประตู 2-1 ในช่วงต้นครึ่งหลัง และเมื่อรวมกับจุดอ่อนที่แดนกลางอย่างที่กล่าวไปข้างต้น รวมทั้งการเปลี่ยนตัวแบบตื่นตระหนกหลังจากนั้นก็ทำให้สถานการณ์กู่ไม่กลับ
2. การเปลี่ยนตัวของ ราเยวัช ที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
- กรกช แทนที่ สรรวัชญ์
แม้ประตู 2-1 ของ อินเดีย จะแสดงให้เห็นแล้วว่ามีช่องโหว่รูมโหฬารที่แดนกลางยามที่ทีมถูกโจมตีจากจังหวะสวนกลับเมื่อใช้กองกลางประเภทบ็อกซ์ทูบ็อกซ์จับคู่กับมิดฟิลด์แบบเพลย์เมคเกอร์ตัวต่ำ แต่โค้ชชาว เซอร์เบีย ยังดึงดันที่จะพยายามให้ลูกทีมเดินหน้าฆ่ามันต่อเนื่องราวกับปิดตาไว้ข้างหนึ่งเมื่อขยับเอา ธีราทร ไปรับบทบาทเป็นกองกลางตัวออกบอลแทนที่ สรรวัชญ์
10 นาทีหลังการเปลี่ยนตัวข้างต้น ทีมชาติไทย เสียประตู 3-1 จากการสวนกลับที่กลางสนาม
- สิโรจน์ แทนที่ ชนาธิป
มิดฟิลด์จาก คอนซาโดเล ซัปโปโร ดูดร็อปจากในครึ่งแรกอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผู้เล่น อินเดีย ประกบติด ชนาธิป เหนียวแน่นกว่าเดิมทำให้เจ้าตัวไม่สามารถแผลงฤทธิ์ได้อย่างในครึ่งแรก ทางเลือกอย่างขยับ-สลับตำแหน่งหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนัง ทีมชาติไทย กับผู้เล่นรายอื่น หรือเปลี่ยนวิธีเข้าทำกับวิธีการยืนตำแหน่ง ถูกโยนทิ้ง พร้อมความพยายามที่จะใช้ความแข็งแกร่งและความเร็วจาก สิโรจน์ คอยคัดท้ายในจังหวะสวนกลับของ อินเดีย
- สุมัญญา แทนที่ อดิศักดิ์
แทบจะไม่สามารถหวังผลใดๆ ได้เลยเมื่อแผงหลังของ อินเดีย ยืนป้องกันอย่างเหนียวแน่น การส่งกองกลางที่มีศักยภาพในการผ่านบอลที่ยอดเยี่ยมในขณะที่ทีมมีตัววิ่งทำทางเพียง 2+1 คน (ธีรศิลป์, ศุภชัย ในแดนหน้าและ ฐิติพันธ์ จากแดนกลาง) พร้อมกับการยืนตำแหน่งช่วงท้ายเกมที่แต่ละคนดูจะสะเปะสะปะไปคนละทิศละทาง
1. สิโรจน์ ฉัตรทอง ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ
แม้จะเปิดเผยไว้กับสื่อฯ ตั้งแต่แคมป์เก็บตัวฝึกซ้อมที่ ประเทศไทย ก่อนขึ้นเครื่องไปลุยศึก เอเชียน คัพ ที่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า สิโรจน์ ฉัตรทอง ถูกจับซ้อมในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับแต่ไม่คิดว่าขงเบ้งอย่าง มิโลวาน ราเยวัช จะใช้แท็คติกดังกล่าวในศึกประเดิมสนามทัวร์นาเมนต์ที่สำคัญที่สุดในทวีปเอเชียทั้งที่มีเวลาซักซ้อมเพียงไม่นานกับบทบาทที่ต้องอาศัยชั้นเชิงและประสบการณ์ที่บ่มเพาะเพื่อความเข้าใจเกมเป็นระยะเวลานาน
ปีโป้ ถูกเปลี่ยนตัวลงสนามแทนที่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ หลังจากสกอร์ขยับเป็น 3-1 ได้ไม่นานและทีมตกอยู่ในสถานการณ์ต้องการประตูอย่างมาก เข้าใจได้ว่าต้องการให้ดาวเตะจาก พีที ประจวบ ปักหลักหน้าแผงหลังยามที่ทีมโหมเกมรุก แบ็คสองข้างรวมทั้งมิดฟิลด์ลอยสูง เพื่อคอยดักเกมสวนกลับของ อินเดีย
ซึ่งท้ายที่สุดแล้วรูปเกมไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าเดิมเลยแถมเจ้าตัวยังดูเก้ๆ กังๆ ในการเล่นเกมรับ ขณะที่การเล่นแบบเพลย์เซฟของ ปีโป้ ในสถานการณ์ดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ทีมมีลุ้นจะได้ประตูเลย
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ