"สไปซ์ บอยส์" : ฉายาสุดเท่, ชีวิตสุดวุ่น และ กลุ่มแข้งสุดหล่อของ ลิเวอร์พูล
ในโลกของฟุตบอล บางครั้งความเก่งอย่างเดียวก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลายเป็นที่นิยมและโด่งดังถึงขั้นระดับสตาร์ ...
เพราะฟุตบอลนั้นคือกีฬาที่ขายความบันเทิง ดังนั้นหากเปรียบเป็นหนังเรื่องหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าพระเอกจะต้องเด่นที่สุดอยู่แล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 20 ปีก่อน มีกลุ่มนักเตะที่เท่ยิ่งกว่านักร้องบอยส์แบนด์ พวกเขาเป็นเด็กหนุ่มจากเมืองลิเวอร์พูล ที่เด็ดขาดทั้งการเล่นในสนามและการครองใจแฟนๆ ด้วยภาพลักษณ์สุดโฉบเฉี่ยว
และนักเตะกลุ่มนั้นถูกเรียกว่า "สไปซ์ บอยส์" (Spice Boys) สุดยอดแห่งความหล่อเหลาเอาการ จนยากจะหานักเตะในวงการกลุ่มใดมาเปรียบ
อย่างไรก็ตามบางครั้งความเท่เกินไปก็จะย้อนกลับมาทำร้ายยคุณได้เหมือนกัน และนี่คือเรื่องราวการถือกำเนิดและสิ่งที่กลุ่ม สไปซ์ บอยส์ กลุ่มนี้ได้สร้างไว้ ติดตามได้ที่นี่
หล่อเท่ หาตัวจับยาก
ปัจจุบันคงไม่แปลกนักที่คุณจะเห็นนักฟุตบอลคนหนึ่งตัดผมทุกสัปดาห์ โพสต์รูปภาพในอิริยาบถเท่ๆ ลงอินสตาแกรม รวมถึงมีงานถ่ายนิตยสารและเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ มากมาย
Photo : secondpost.wordpress.com
แต่ย้อนกลับไปกว่า 20 ปีก่อนนั้น ภาพลักษณ์ของนักฟุตบอลไม่ใช่แบบนี้ โดยเฉพาะฟุตบอลอังกฤษที่เป็นเหมือนศูนย์รวมของคนพันธ์ดุ เพราะนอกจากจะมีสไตล์การเล่นที่ดุดัน ใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นหลักแล้ว พวกเขายังมีคาแร็คเตอร์เหมือนกับพวกโรคจิตบ้าพลัง ผมเผ้ารุงรัง หรือไม่ก็โกนหัวมันซะเลย ไร้ซึ่งความสำอางค์ อาทิ วินนี่ โจนส์ "ไอ้โรคจิต" ของ วิมเบิลดัน, จูเลี่ยน ดิ๊กส์ ขาโหดของ เวสต์แฮม เป็นต้น
ช่วงยุค 90's ถือว่าเป็นช่วงที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเริ่มยุทธศาตร์ตีตลาดโลกแข่งกับฟุตบอลอิตาลี และทำให้นักฟุตบอลหลายคนมีรายได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่จากสโมสรฟุตบอลอย่างเดียว แต่แบรนด์ต่างๆ เริ่มให้ความมั่นใจกับนักเตะเหล่านี้ว่าเป็นบุคคลที่ขายได้ จึงทำให้เป็นยุครอยต่อของฟุตบอลที่จากเคยเป็นกีฬาเพียงอย่างเดียว กลายเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์มากขึ้น
ลิเวอร์พูล คือทีมที่ได้แสดงภาพของรอยต่อนี้ได้เห็นชัดที่สุด ด้วยด้วยขุมกำลังนักเตะที่พวกเขามี ช่วงเวลานั้นนักเตะดาวรุ่งอย่าง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, สตีฟ แม็คมานามาน, เจสัน แม็คเอเทียร์, ฟิล บ๊าบบ์, เดวิด เจมส์ และ เจมี่ เร้ดแน็ปป์ ที่แต่ละคนนั้นต่างมีภาพลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
Photo : www.firmastella.com
นักเตะกลุ่มนี้ผลัดใบขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ ที่เคยสร้างพากันคว้าแชมป์ลีกครั้งสุดท้ายซึ่งกำลังเข้าสู่ยุคโรยรา อย่าง เอียน รัช และ จอห์น บาร์นส์ ซึ่งเรื่องฝีเท้าของรุ่นน้องที่ขึ้นมาแทนที่นั้นก็เรียกได้ว่าดูดีมีแวว ความยอดเยี่ยมของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป อาทิ เร้ดแน็ปป์ มีบอลสั้น-ยาวที่แม่นยำ, แม็คมานามาน หรือ แม็คก้า ก็คล่องแคล่วสมกับเป็นปีกยุคใหม่ที่ไม่ได้มีมิติแค่ลากบอลไปเปิดเข้ากลางอย่างเดียว ส่วน ฟาวเลอร์ นั้นก็จบสกอร์เฉียบขาดจนช่วงหนึ่งถูกเรียกว่า "นิว เอียน รัช" เลยทีเดียว
ความสามารถของพวกเขาทั้งหมด รวมกับคนอื่นๆ ในทีมทำให้ ลิเวอร์พูล ในยุคนั้นเป็นฟุตบอลที่เล่นสนุก บุกกระจาย ทว่าปัญหาคือสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ต้องแลก คือการที่พวกเขายังเด็กและเป็นบอลสไตล์บอลบุ๋นมากกว่าบู๊ จึงทำให้ หงส์แดง ยุคหลังจากปี 1993 เป็นต้นมา เป็นทีมที่พร้อมจะชนะ และพร้อมที่จะแพ้ให้กับทุกทีม
Photo : www.liverpoolfc.com
และสำหรับโลกฟุตบอลนั้น ผลการแข่งขันถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทั้งการที่ ลิเวอร์พูล ยุคนั้นมีมาตรฐานตกไปจากยุค "เครื่องจักรสีแดง" ก่อนหน้านี้ ทำให้เกิดความไม่พอใจเล็กๆ ในหมู่แฟนบอลขึ้นมา พวกเขาเชื่อว่าเด็กๆ เหล่านี้ควรจะดุดัน เตะเป็นเตะ หวดเป็นหวดมากกว่าที่เป็นอยู่ และเมื่อนั้นความสำอางค์ของแข้งหงส์แดงชุดเปลี่ยนผ่าน กลายเป็นเป้าโจมตีเสมอว่าเป็นบอล "ห่วงหล่อ" มากกว่าที่จะเป็นบอลที่หวังชัยชนะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเด็กๆ เหล่านี้มีคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจน ทำให้พวกเขาได้ขึ้นปกนิตยสาร เป็นพรีเซนเตอร์ หรือได้จ๊อบจากวงการบันเทิง จึงทำให้ภาพจำนอกสนามของพวกเขา เข้ามาแทนที่สิ่งที่พวกเขาเป็น นั่นคือ "การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ"
ตำนานสไปซ์บอยส์
ตำนานของนักเตะกลุ่มดังกล่าวจากหงส์แดงชัดเจนมากขึ้นไปอีกเมื่อ ณ เวลานั้นมี เกิร์ลกรุ๊ป รุ่นราวคราวเดียวกันมาให้เปรียบเทียบ ชื่อของพวกเธอคือ สไปซ์ เกิร์ลส์ (Spice Girls) ที่โด่งดังเป็นพลุแตกหลังออกอัลบั้มแรกที่ชื่อว่า Wannabe ในปี 1994 การันตีด้วยยอดขายกว่า 55 ล้านชุดทั่วโลก
Photo : www.rdf.it
นี่เองคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดคำว่า "สไปซ์ บอยส์" ขึ้นมา เนื่องจากสื่อจอมปั่นอย่าง Daily Mail รายงานข่าวว่า ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ กำลังออกเดทหรือคบหาดูใจกับ เอ็มม่า บันตัน (เบบี้ สไปซ์) 1 ในสมาชิกของ สไปซ์ เกิร์ลส์ ขณะที่คนอื่นๆ ก็ไม่น้อยหน้า เพราะตัวของ แม็คมานามาน และ เจสัน แม็คเอเทียร์ ก็มีข่าวกับ เมล ซี (สปอร์ตี้ สไปซ์) ด้วยเช่นกัน
เดลี่ เมล์ เขียนข่าวถึงนักเตะของลิเวอร์พูลกลุ่มนั้นว่า นักเตะที่ให้ความสำคัญกับปาร์ตี้, ทรงผม, รถสปอร์ต และสาวๆ โดยใช้คำว่า "inroads in the pages of glossy magazines [rather] than in the league table" (แคร์การขึ้นปกนิตยสารมากกว่าอันดับในตาราง)
การตั้งฉายาให้กลุ่มแข้งหนุ่มรูปหล่อ ที่ให้ความสำคัญในการดูแลภาพลักษณ์นอกสนามครั้งนี้เป็นที่โดนใจผู้อ่านอย่างมาก และหลังจากนั้นเมื่อทุกคนได้ยินคำว่า สไปซ์ บอยส์ ทุกคนก็จะเข้าใจตรงกันว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร
กลุ่ม สไปซ์ บอยส์ โดยจับตาในทุกฝีก้าวจากสื่ออังกฤษ และเรื่องที่สร้างชื่อที่สุดคือเกมนัดชิงฟุตบอล เอฟเอ คัพ ในปี 1996 ที่ความเท่ของพวกเขาโดดเด้งโดนใจแบรนด์เสื้อผ้าดังอย่าง "อาร์มานี่" ซึ่งรับหน้าที่จัดคอสตูมสำหรับเกมนี้โดยเฉพาะ และสิ่งที่ อาร์มานี่ จัดให้ก็เท่ระเบิดอย่างที่ใครไม่อาจปฎิเสธได้เลย
ชุดสูทสีขาว ที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีฟ้า ซึ่งตัดกันดีกับเน็คไทสีแดง เท่านั้นยังไม่พอยังมีดอกไม้สีฟ้ากลัดอยู่ตรงหน้าอกเพิ่มความหล่อขึ้นอีกจม ... นี่คือชุดที่พวกเขาใส่เดินลงสนามช่วงก่อนการแข่งขัน และมันดับชุดสูทสีดำที่ดูเรียบๆ ของฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างสนิทเลยทีเดียว
Photo : www.mirror.co.uk
ณ เวลานั้น ยูไนเต็ด กำลังผลักดันนักเตะยุค คลาส ออฟ '92 ซึ่งเป็นกลุ่มดาวรุ่งที่สโมสรดันขึ้นมาจากทีมเยาวชน ทว่ากฎการดูแลของฝั่ง ยูไนเต็ด ที่มี อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นผู้ถือตำรานั้นเข้มกว่าหลายเท่า เฟอร์กี้ วางกฎสุดเขี้ยวต่างๆ มากมายเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆ ของเขาเหลิงเกินฝีเท้า
และผลการแข่งขันที่ออกมาก็ทำให้ภาพลักษณ์ของ สไปซ์ บอยส์ ถูกจดจำแบบไม่ดีนัก เนื่องจากความหล่อของพวกเขาไม่ช่วยให้เป็นแชมป์ได้ ยูไนเต็ด ชนะ 1-0 และยิ่งกว่านั้นคือการสัมภาษณ์ของบุคคลฝั่ง ยูไนเต็ด ที่เสียดสีชุดสูทสีขาวสุดเท่ของลิเวอร์พูลโดยตรงจนถึงขั้นหน้าชาได้ง่ายๆ
Photo : www.liverpoolecho.co.uk
"การใส่สูทสีขาวลงไปในสนามเวมบลี่ย์ ทำให้พวกเขาทำเหมือนกับว่าชนะเราตั้งแต่ยังไม่ได้แข่ง ชุดแบบนั้นมันชวนให้ผมคิดว่า ไอ้พวกนี้มันได้แชมป์แล้วเหรอ?" ไรอัน กิ๊กส์ นักเตะรุ่นราวคราวเดียวกันกับ สไปซ์ บอยส์ กล่าว
ขณะที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เปิดเผยภายหลังว่า วินาทีที่เขาเห็นนักเตะ ลิเวอร์พูล ใส่ชุดขาวเดินส่ายอาดลงสนาม เขารู้ทันทีว่าทีมของเขาเป็นผู้ชนะในเกมนี้
Photo : www.footballwhispers.com
"ผมบอกกับ ไบรอัน คิดด์ (ผู้ช่วย) ว่า ก็เพราะแบบนี้ไงเราถึงได้ชนะ 1-0 ... จะเรียกมันว่าอะไรดีล่ะ? ความเหลิงและจองหองสูงส่งได้ไหม แน่นอนล่ะ ผมว่ามันไร้สาระน่าดู เสื้อเชิ้ตสีฟ้า ไทด์สีแดง ไหนจะสูทขาวกับดอกไม้อีก ... ไหนจะ เจมี่ เร้ดแน็ปป์ ใส่แว่นกันแดดลงสนามไปอีก ผมว่ามันน่าอายนะที่นักเตะแต่งตัวจัดเต็ม แต่กุนซือของพวกเขาอย่าง รอย อีแวนส์ และ รอนนี่ โมแรน ใส่แค่สูทสีดำธรรมดาๆ"
"พวกเขาบอกว่า อาร์มานี่ ออกแบบให้ก็จริง แต่ผมว่าหลังจากนี้ อาร์มานี่ จะต้องยอดขายตกแน่นอน" เฟอร์กี้ กล่าวกับ BBC
สำหรับ ลิเวอร์พูล คงไม่มีอะไรจะเจ็บไปกว่าการแพ้ให้กับ ยูไนเต็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบชิงชนะเลิศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง (อีกครั้ง) กับการให้สัมภาษณ์ถึงที่แสบจนจำได้ขึ้นใจแบบนี้
ต้องจัดการ...
ภาพลักษณ์คงไม่มีผลหาก ลิเวอร์พูล ชุดนั้นสามารถทำผลงานในสนามได้ตอบโจทย์แฟนบอล อย่างไรก็ตาม ทีมชุดนั้นกลายเป็นภาพจำของความหน่อมแน้ม ไม่บู๊ ไม่ดุดัน มีนักเตะที่เล่นบอลได้สวยงาม แต่กลับไร้ซึ่งตัวตัดเกม ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่ทำให้ สไปซ์ บอยส์ มาถึงช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
Photo : www.thisisanfield.com
หนึ่งในปัญหาสำคัญของทีงหงส์แดงยุคนั้น คือความหน่อมแน้ม พวกเขาจึงเอานักเตะพันธุ์ดุอย่าง พอล อินซ์ จาก อินเตอร์ มิลาน (แถมยังเป็นอดีตนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด) เข้ามาเติมเต็ม หลังจากนั้นในปี 1998 พวกเขาก็ตัดสินใจแหกม่านประเพณี ด้วยการจ้าง เชราร์ อุลลิเย่ร์ กุนซือชาวฝรั่งเศส มาเป็นกุนซือคู่กับ รอย อีแวนส์
การทำลาย "บูท รูม" ประเพณีของ ลิเวอร์พูล ในยุค 60-90's ที่จะใช้ผู้จัดการทีมซึ่งมีอดีตกับสโมสรมาก่อนเท่านั้น คือจุดเริ่มต้นของการล้างบาง สไปซ์ บอยส์ ออกจากทีม อุลลิเยร์ เชื่อว่าพวกติดหล่อเหล่านี้คือจุดอ่อนของทีม และเมื่อเขาได้ขึ้นเป็นกุนซือใหญ่แต่เพียงผู้เดียว การปฏิวัติ สไปซ์ บอยส์ ก็เริ่มขึ้น
"อุลลิเย่ร์ เข้ามา และเริ่มเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ มากมาย เขาต้องการแสดงอำนาจให้ทุกคนในทีมรู้ว่าเขาสามารถจัดการได้ทุกเรื่อง และเขาคิดว่านักเตะกลุ่มนี้ (สไปซ์ บอยส์) เป็นพวกรับมือยาก และเขาจะขับออกจากทีมให้หมดไป" เจสัน แม็คเอเทียร์ หนึ่งใน สไปซ์ บอยส์ ของ ลิเวอร์พูล กล่าว
Photo : www.aftenposten.no
จะจริงหรือไม่ เรื่องนี้ไม่มีการยืนยันจากปากของ อุลลิเย่ร์ แต่ที่แน่ๆ สไปซ์ บอยส์ เริ่มกระเด็นออกจากทีมทีละคน เริ่มต้นที่ เจสัน แม็คเอเทียร์, เดวิด เจมส์ แสะ สตีฟ แม็คมานามาน ที่ออกจากทีมไปในปี 1999 จากนั้นก็ตามด้วย เจมี่ เร้ดแน็ปป์ และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ในอีก 2 ปีต่อมา
แม้การเอานักเตะระดับขวัญใจแฟนบอลออกจากจากทีมจะทำให้เกิดความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ผลงานของ อุลลิเย่ร์ ในการคุมทีม ลิเวอร์พูล ในยุคเริ่มลดบทบาท สไปซ์ บอยส์ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะช่วงปี 2001 ที่หงส์แดงคว้าแชมป์ถึง 5 รายการ (ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ, ยูฟ่า คัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และ คอมมูนิตี้ ชิลด์)
ความจริงจากปากคนแอ็ค
เรื่องความเก่งไม่มีใครเถียงสำหรับฝีเท้าของกลุ่ม สไปซ์ บอยส์ แต่อย่างที่บอกไป ภาพจำของพวกเขากลับกลายเป็นกลุ่มนักเตะที่ไม่มีความทุ่มเท และทำให้ทีมไม่เป็นทีม ซึ่งความจริงแล้วมันก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจไม่น้อย เพราะอย่างที่รู้กันสื่ออังกฤษถ้าคิดจะเล่นข่าวใคร หรือนักเตะคนไหนที่เอามาเขียนข่าวและขายได้ พวกเขาก็จะขยี้ซ้ำมันอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะตายไปข้าง ซึ่งกลุ่ม สไปซ์ บอยส์ ก็เป็น 1 ในกลุ่มนักเตะดังกล่าว
แต่ความจริงที่พวกเขาไม่ค่อยได้พูด หรือเมื่อพูดแล้วก็ไม่มีใครเชื่อคือ ทุกๆ คนในกลุ่มสไปซ์บอยส์ เป็นนักเตะที่ทุ่มเทไม่ต่างกับนักเตะคนอื่นๆ ในทีม และเรื่องข่าวคราวความเสียหายต่างๆ ที่เล่นงานพวกเขา บางครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด
Photo : www.theguardian.com
"เมื่อพูดถึง สไปซ์ บอยส์ ก็มักจะมีคนพูดถึงแต่ความห่วยและด้านแย่เสมอ" สตีฟ แม็คมานามาน ที่ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด เล่าหลังจากที่เขาแขวนสตั๊ด
"เรื่องราวทั้งหมดมันไร้สาระจริงๆ มีแต่คนเชื่อว่ากลุ่มผู้เล่นของลิเวอร์พูลชุดนั้นเป็นพวกเจ้าสำอางติดแอ็ค สนใจแต่เรื่องนอกสนามมากกว่าฟุตบอล ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผมที่โดนกล่าวถึงด้วย"
"ถ้าผมปิดตาและฟัง ผมมักจะได้ยินคำว่าไอ้นักฟุตบอลพวกนี้มันทำตัวอย่างกับนักร้องป๊อปสตาร์ แต่มันโคตรไร้สาระ ความจริงคือพวกเราทุกคนมีความเป็นมืออาชีพด้วยกันทั้งนั้นแหละ" แม็คมานามาน พูดแบบเซ็งๆ ถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตเมื่อได้รับฉายาว่า สไปซ์ บอยส์
ขณะที่ แม็คเอเทียร์ ก็เล่ามุมมองของตัวเองไปในทิศทางคล้ายกันคือ สไปซ์ บอยส์ เป็นเป้าของสื่อ บางครั้งเรื่องนิดเดียวก็โดนเอาไปเขียนเป็นตุเป็นตะ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาเชื่อว่านักเตะทีมอื่นเป็นอย่างไร ทำอะไรก่อนลงสนาม นักเตะลิเวอร์พูล เองก็ทำไม่ต่างกันหรอก
"เราไม่ควรจะถูกเรียกว่า สไปซ์ บอยส์ เลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะฟาวเลอร์นี่เราเรียกเขาว่า สไปซ์ อักลี่ เลยก็ยังได้ ... ความจริงคือพวกเรามีความเป็นมืออาชีพทุกคน แต่คนก็ไปจำเรื่องนอกสนามมากกว่า"
"มันมีวัฒนธรรมมากมายในสังคมฟุตบอล และผมเองก็มั่นใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรที่มันเลวร้ายไปกว่านักเตะของ อาร์เซน่อล หรือ ยูไนเต็ด เลยด้วยซ้ำไป" แม็คเอเทียร์ กล่าว
Photo : www.independent.ie
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่กล่าวมา มันก็ขึ้นอยู่กว่าคุณจะเลือกเชื่อ และเลือกจะจำพวกเขาในแบบไหน ถ้าจำพวกเขาในฐานะ สไปซ์ บอยส์ สุดแอ็ค นั่นแสดงว่าสื่อได้ทำหน้าที่ชี้นำที่พวกถนัดได้สำเร็จแล้ว และนั่นเป็นเหตุที่การปฎิเสธว่าพวกเขา "ไม่ได้ทำอย่างนั้น" ของกลุ่ม สไปซ์ บอยส์ ไม่ถูกจดจำมากมายนัก
แต่สุดท้ายไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่า สไปซ์ บอยส์ แต่ละคนมีเส้นทางอาชีพที่ตอบความสงสัยนั้นได้ทั้งสิ้น แม็คมานามาน เป็นแชมป์ยุโรป ฟาวเลอร์ กับฉายา "เลอ ก็อด", หรือแม้กระทั่ง เดวิด เจมส์ ก็ยังเคยเป็นตัวหลักของทีมชาติอังกฤษอยู่พักใหญ่
คุณสมบัติเหล่านี้มันเป็นไปได้ยากสำหรับนักเตะที่ไม่ตั้งใจซ้อม, ติดปาร์ตี้ และเลือกใช้ชีวิตนอกสนามสุดเหวี่ยงเป็นหลักแบบที่ใครหลายคนจดจำ สไปซ์ บอยส์ ไว้เช่นนั้น ... คุณคิดแบบนั้นหรือเปล่า?