5 พืชผักผลไม้ที่มี "ไซยาไนด์" ตามธรรมชาติ กินผิดวิธีเสี่ยงอันตรายถึงตาย
Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
//s.isanook.com/ns/0/ud/1972/9860770/new-thumbnail1200x720_v2-20.jpg5 พืชผักผลไม้ที่มี "ไซยาไนด์" ตามธรรมชาติ กินผิดวิธีเสี่ยงอันตรายถึงตาย

5 พืชผักผลไม้ที่มี "ไซยาไนด์" ตามธรรมชาติ กินผิดวิธีเสี่ยงอันตรายถึงตาย

แชร์เรื่องนี้

5 พืชผักผลไม้ที่มี "ไซยาไนด์" ตามธรรมชาติ กินผิดวิธีเสี่ยงอันตรายถึงตาย

เมื่อได้ยินคำว่า "ไซยาไนด์" (Cyanide) หลายคนมักนึกถึงยาพิษร้ายแรงที่เป็นข่าวตามหน้าสื่อ แต่ความจริงแล้วสารชนิดนี้สามารถพบได้ตามธรรมชาติในพืชผักผลไม้ที่เราคุ้นเคย โดยพืชเหล่านี้มีสารที่เรียกว่า ไซยาโนเจนิก ไกลโคไซด์ (Cyanogenic Glycosides) ซึ่งเป็นกลไกป้องกันตัวจากแมลง แต่ความรุนแรงของพิษในพืชนั้นแตกต่างจากสารเคมี

ความแตกต่างของพิษ: สารเคมี VS พืชธรรมชาติ

สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ พิษจากการบริโภคพืชจะไม่เกิดขึ้นเฉียบพลัน หรือรวดเร็วเหมือนกับการสูดดมก๊าซไซยาไนด์ หรือการกินสารเคมีอย่าง โซเดียมไซยาไนด์ และ โปแทสเซียมไซยาไนด์ ซึ่งกรณีของสารเคมีนั้น อาการพิษจะปรากฏให้เห็นภายในไม่กี่นาทีหรือไม่เกิน 1 ชั่วโมงหลังได้รับสาร

ในทางกลับกัน การแสดงพิษจากการกินพืชที่มีไซยาไนด์ อาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง หลังจากรับประทานเข้าไป เนื่องจากร่างกายต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายสาร Cyanogenic Glycosides ให้กลายเป็น ไฮโดรเจนไซยาไนด์ (HCN) เสียก่อน พิษจึงจะเริ่มทำงาน

ร่างกายจัดการกับไซยาไนด์จากพืชอย่างไร?

ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับปริมาณ HCN ที่ร่างกายได้รับ หากเราเผลอกินเข้าไปใน ปริมาณน้อย ร่างกายของมนุษย์มีกลไกธรรมชาติในการทำลายพิษและขับออกทางปัสสาวะได้เอง โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

แต่หากได้รับใน ปริมาณมาก เช่น การกินพืชดิบๆ หรือพืชที่ผ่านการปรุงไม่ถูกวิธี (ไม่สุกดี หรือไม่ได้กำจัดพิษออก) จะทำให้เกิดการสะสมของสารพิษจนร่างกายรับไม่ไหว ส่งผลให้เกิดภาวะขาดออกซิเจน หายใจขัด ชักกระตุก กล้ามเนื้ออ่อนแรง หมดสติ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

5 พืชผักผลไม้ที่มีไซยาไนด์ตามธรรมชาติ

1. มันสำปะหลัง

นี่คือพืชที่มีปริมาณไซยาไนด์สูงมาก โดยเฉพาะที่เปลือกและแกนกลาง การกินมันสำปะหลังดิบๆ อาจทำให้เกิดพิษเฉียบพลันได้ วิธีการรับประทานที่ปลอดภัยคือต้องลอกเปลือกออก ล้างให้สะอาด และ ทำให้สุกด้วยความร้อน (ต้มหรือเผา) อย่างน้อย 10-30 นาที ความร้อนจะช่วยทำลายพิษไซยาไนด์ไปจนเกือบหมด

2. หน่อไม้ 

เมนูโปรดของคนไทยอย่างหน่อไม้ ก็มีสารไซยาไนด์ตามธรรมชาติเช่นกัน โดยเฉพาะในหน่อไม้สดที่มีรสขม การกินหน่อไม้ดิบอาจทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและหมดสติได้ วิธีแก้คือต้องนำไปต้มในน้ำเดือดนานๆ และควรเปิดฝาหม้อขณะต้มเพื่อให้สารพิษระเหยออกไปกับไอน้ำ หรือนำไปดองเปรี้ยวก็ช่วยลดสารพิษได้เช่นกัน

3. ถั่วลิมา 

ถั่วบางชนิด เช่น ถั่วลิมา (Lima beans) หรือถั่วเนย มีสารกลุ่มนี้อยู่ หากกินดิบๆ ในปริมาณมากอาจเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง ดังนั้นควรนำเมล็ดถั่วไปแช่น้ำค้างคืนและต้มจนสุกนิ่มก่อนนำมาประกอบอาหารเสมอ 

4. เมล็ดผลไม้ตระกูล Stone Fruits

เนื้อผลไม้อย่าง แอปเปิล เชอร์รี ลูกท้อ บ๊วย หรือแอปริคอต นั้นปลอดภัยและมีประโยชน์ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ "เมล็ด" ของมัน เพราะในเมล็ดมีสารอะมิกดาลิน (Amygdalin) ที่เปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ได้เมื่อถูกเคี้ยว แม้การกลืนเมล็ดลงไปทั้งเมล็ดโดยไม่เคี้ยวอาจไม่เป็นไร แต่ทางที่ดีควรคายเมล็ดทิ้งและระวังไม่ให้เด็กเคี้ยวเล่น

5. อัลมอนด์ขม

อัลมอนด์มี 2 ประเภทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งด้านรสชาติและความปลอดภัยในการบริโภค ได้แก่ อัลมอนด์หวาน ซึ่งเป็นแบบที่เราคุ้นเคยในท้องตลาด ปลอดภัยและเหมาะกับการบริโภค อัลมอนด์ขม ซึ่งแม้จะคล้ายคลึงกัน แต่ซ่อนสารพิษร้ายแรงเอาไว้

อัลมอนด์ขม มีสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ (Hydrogen Cyanide) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของไซยาไนด์ เมื่อเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ ปวดหัว ระบบหายใจล้มเหลว และหากได้รับมากเกินไปอาจถึงแก่ชีวิตได้

สังเกตอาการแพ้พิษไซยาไนด์จากพืช

หากรับประทานพืชเหล่านี้เข้าไปแบบผิดวิธี และร่างกายได้รับพิษสะสมจนเกินขีดจำกัด อาจมีอาการแสดงดังนี้:

  • อาการเบื้องต้น/เฉียบพลัน: เวียนศีรษะ ปวดท้อง อาเจียน และท้องเสีย
  • อาการรุนแรง: หายใจลำบาก ตัวเขียวจากการขาดออกซิเจน ชักเกร็ง และหมดสติ

สรุป: กินอย่างไรให้ปลอดภัย

การมีอยู่ของไซยาไนด์ในพืชไม่ใช่เรื่องที่ต้องตื่นตระหนกจนเลิกกินผักผลไม้ เพียงแค่เราต้องยึดหลักไม่กินดิบ เพราะความร้อนจะช่วยสลายโครงสร้างของสารพิษไซยาไนด์ให้หายไป ทำให้เราสามารถเอร็ดอร่อยกับอาหารจานโปรดได้อย่างปลอดภัยและได้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างเต็มที่

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :pharmacycouncil.org,thaihealth.or.th