นายกฯแจงทูตUSยันไม่กดดันคดีบูท

นายกฯแจงทูตUSยันไม่กดดันคดีบูท

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลัง นายเอริค จี.จอห์น. เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าพบที่รัฐสภา โดยยืนยันว่า นายเอริค ไม่ได้มาเข้าพบ เพื่อกดดันรัฐบาลไทยต่อกรณี นายวิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาคดีค้าอาวุธสงคราม แต่ยอมรับว่าทางการสหรัฐฯ มีความสับสน และตกใจกับกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ฝ่ายบริหารอาจจะดำเนินการขัดกับคำสั่งของศาล ที่ให้มีการส่งตัว นายวิคเตอร์ บูท กลับไปยังสหรัฐฯ ซึ่งได้มีการอธิบายถึงขั้นตอนของกฎหมายและสนธิสัญญา แต่อำนาจสุดท้าย อยู่ที่ฝ่ายบริหาร

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ฝ่ายบริหารยังไม่ได้มีการพิจารณา ตัดสินใจ ถึงเรื่องดังกล่าว แต่การตัดสินใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นไปในทางที่เกี่ยวกับที่ศาลตัดสิน แต่ก็ต้องมีเหตุผลที่ดีรองรับ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงปัญหาที่จอดรถภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ล่าสุด มีการเปิดเผยชื่อย่ออักษร อ. ส. และ ท. ว่ามีการเรียกรับเงิน 100 ล้านบาท ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รายงานปัญหาที่เกิดขึ้น ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยในเชิงพาณิชย์ ไม่ได้รับความเสียหาย เพราะท่าอากาศยาน ได้มีการหักเงินจากเงินที่วางประกันไว้ และได้มีการยกเลิกสัญญาแล้ว โดยขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว


นายกรัฐมนตรี สั่งผู้เกี่ยวข้องแจง ปัญหาการทุจริตจากกระทรวง ในสังกัดพรรคภูมิใจไทย พร้อมยกเลิกสัญญา
บ.เอกชน หลังพบอาจไม่สามารถระบายข้าวได้ตามสัญญา

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอนโยบายเพิ่มค่าแรงฐานเงินเดือนขั้นต่ำ โดยเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาของการหาเสียง ซึ่งนโยบายดังกล่าว เป็นการต่อยอดนโยบายของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการอยู่ และเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ทุกพรรคเห็นตรงกันว่า ปัญหานี้เป็นเรื่องที่สำคัญ ส่วนจะทำได้หรือไม่นั้นต้องพิจารณาเงื่อนไขอื่นๆ ประกอบด้วย อาทิ เรื่องค่าแรงงานนั้น รัฐบาลมีแนวคิดที่จะปรับเพิ่มอัตราขั้นต่ำ แต่ตัวเลขต้อง
ไม่กระทบกับการจ้างงาน โดยรัฐบาลกำลังพิจารณาในเรื่องของสิทธิประโยชน์ ในหลักประกันสังคม เพิ่มเติมไปกับการปรับ
เพิ่มค่าแรง ตลอดจนครอบคลุมแรงงานนอกระบบด้วย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยถึงการที่ นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. เข้าพบ
เมื่อช่วงเช้า ว่า เป็นการรายงานผลการประชุม ศอฉ. วานนี้ ในการตรวจสอบความเคลื่อนไหว ในการฝึกอาวุธในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ต้องระมัดระวังการให้ข่าว เพื่อไม่ให้กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน โดยต้องมีข้อมูลหลักฐาน ที่ชัดเจนก่อน หากมีปัญหา ก็สามารถพูดคุยกับผู้นำกัมพูชาได้โดยตรง ซึ่งที่ผ่านมา สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็ได้ยืนยันว่า จะไม่ยอมให้ใครมีการใช้ประเทศกัมพูชา เป็นฐานในการเคลื่อนไหว

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาการระบายข้าว ว่าได้มอบหมายให้นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ไปดูแล โดยให้ยกเลิกสัญญา ของบริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด หากไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ ทั้งนี้ย้ำว่า ไม่ต้องการให้การแสวงหาผลประโยชน์ และต้องไม่ให้มีการทุบราคาข้าว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎระเบียบ ทั้งเรื่องของราคาและปริมาณที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องดังกล่าวต้องมีการหารือกับนายไตรรงค์ อีกครั้ง ถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวหาความไม่โปร่งใส ของบริษัทที่เข้าสัญญาเพื่อขอให้ระบายข้าว ออกจากสต๊อกของรัฐบาล ซึ่งหากบริษัทดังกล่าว เข้ามาทำสัญญาใหม่อีกครั้ง จะต้องดูแลถึงความเหมาะสม หลังเกิดปัญหาเรื่องของขีดความสามารถ ในการระบายข้าว ส่วนกรณีปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นปัญหาภายในกระทรวงพรรคภูมิใจไทยดูแลนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้เข้าไปดูแลกระทรวงที่มีปัญหาแล้วและได้ขอให้มีการนำข้อเท็จจริง ให้ปรากฏอย่างตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตาม กรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทยออกมาระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย เหมือนเป็นสามีภรรยากันนั้น ต้องไม่หวั่นไหวกับข่าวเรื่องการทุจริต นายกรัฐมนตรีหัวเราะ ก่อนกล่าวสั้นๆ ว่ามีภรรยาเพียงคนเดียว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook