นายกย้ำเล็งเลิกพรก.บางจว.ดูจากจนท.คุมพื้

นายกย้ำเล็งเลิกพรก.บางจว.ดูจากจนท.คุมพื้

นายกย้ำเล็งเลิกพรก.บางจว.ดูจากจนท.คุมพื้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกอภิสิทธิ์ ว่า การปฏิรูปสื่อสารมวลชนแตกต่างจากฐานะอื่น เพราะไม่มีกรรมการเฉพาะ โดยจะต้องให้สื่อมีเสรีภาพเป็นไปอย่างสร้างสรร สามารถกำกับตัวเองได้มากที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้จะมีความห่วงใยเกรงว่า รัฐบาลจะแทรกแซงนั้น ตนจึงได้เดินทางไปพบปะกับสื่อ 2 ค่ายใหญ่ ทำให้ได้ประโยชน์อย่างมากนี้มีการพยายามผลักดันกฎหมายวิชาชีพสื่อแต่ด้านวิทยุโทรทัศน์มีปัญหาที่องค์กรต่างๆ ไม่ได้อยู่มานานซึ่งต้องมีการเสริมให้มีความเข้มแข็ง มากขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน ตนจะให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ หรือ ส.ส.ส. และหน่วยงานอื่นๆ เข้าช่วยเสริมให้มีความเข้มแข็ง มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดจะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายให้สื่อสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น ส่วนสื่อของรัฐบาลนั้นโดยเฉพาะช่อง 11 จะมีการผลักดันให้มีรายการของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้ร่วมแสดงความคิดเห็นซึ่งยืนยันว่าการปฏิรูปสื่อจะยึดแนวทางนี้ด้วย


ขณะที่ การยกเลิกการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยย้ำว่า ขณะนี้มีบางจังหวัดที่สามารถยกเลิกได้ ในวันอังคารที่ 20 ก.ค. นี้ ซึ่งจะต้องดู ว่าจังหวัดใด ที่เจ้าหน้าที่มั่นใจว่าสามารถดูแลได้โดยไม่ต้องใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ขณะที่ 5 จังหวัดที่ยกเลิก ไปก่อนหน้านี้ ภาพรวมก็เรียบร้อยดี ทั้งนี้ กรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ไม่อยู่ในขณะนี้นั้น ก็คงไม่มีปัญหา เพราะศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ยังดำเนินการได้ ขณะที่ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทย ก็รายงานอยู่แล้ว ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไม่ได้ตั้งใจว่า จะให้ประกาศครบ 90 วัน

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง กรณีที่พรรคชาติไทยพัฒนา ทวงถามการแก้ไขรัฐธรรมนูญจาก พรรคประชาธิปัตย์ ก่อนที่จะมีการยุบสภา ว่าไม่เป็นการสร้างความขัดแย้ง ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เพราะขณะนี้ มีคณะกรรมการพิจารณาผ่านทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปการเมือง และศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มี นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธานกรรมการอยู่

นอกจากนี้ ในเรื่องการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนนั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า สามารถทำได้ เพราะมั่นใจว่า เจ้าหน้าที่
จะดูแลความปลอดภัยได้ แต่ไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้ากัน ระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มมวลชนที่ยังไม่เข้าใจ หรือ ที่เห็น
แตกต่างและมีแนวทางเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติ ขณะที่ การทำงานของตนเองตลอดระยะเวลา 1 ปี 7 เดือนที่ผ่านมานั้น ยืนยันว่า ต้องการวางแนวโครงร่างสังคมประเทศไทย ในอนาคตให้เกิดความมั่นคง เรื่องของความเป็นอยู่ ที่จากเดิมความมั่นคง
ในชีวิตจะอยู่กับผู้ที่ประกอบอาชีพรับราชการ หรือรัฐวิสาหกิจเท่านั้น ซึ่งรัฐบลชุดนี้ พยายามที่จะวางโครงร่างการสร้าง
หลักประกันในชีวิต ให้แก่ประชาชน ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจนั้น มั่นใจว่า ที่ผานมา รัฐบาลแก้ปัญหาให้ประชาชน


ขณะที่ ยอมรับว่า ข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่จะใช้ความรุนแรง ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง ยังคงมีอยู่


ส่วนการเดินทาง ลงพื้นที่ใน ภาคเหนือ และอีสานนั้น ก่อนหน้าที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ไปอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ระยะหลังเมื่อมีการต่อต้านจากกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าไม่ใช่คนในพื้นที่ ซึ่งมองว่า ถ้าไปแล้ว เจ้าหน้าต้องทำงานหนัก อาจเกิดการปะทะกับผู้ชุมนุมได้ ก็ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะเดินทางไปอย่างแน่นอน

พร้อมกันนี้ ระบุว่า หากต้องการให้การเลือกตั้งเกิดเร็วขึ้น ก็ต้องช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบก่อน ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะยุติการก่อนหมดวาระ


นอกจากนี้ ได้กล่าวถึง กรณี ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ ทั้ง 2 ประเทศ หลีกเลี่ยงปัญหาที่จะก่อให้เกิดการสู้รบกัน ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลง เมื่อปี 2543 แต่บางครั้งที่มีประชาชนชาวกัมพูชา รุกล้ำเข้ามานั้นก็จะให้กระทรวงการต่างประเทศ ทำหนังสือประท้วง เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ซึ่งขณะนี้ที่ยังไม่ได้ข้อยุตินั้น ก็จะมีการใช้ประเด็นนี้เป็นข้อท้วงติง
ในการประชุมคณะกรมการมรดกโลก ที่ไทยมี นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook