รวบแล้วมือปืนค่าหัว 2 แสนหนีโทษประหาร
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/ns/0/ud/189/946494/imgr_1277619587.jpgรวบแล้วมือปืนค่าหัว 2 แสนหนีโทษประหาร

    รวบแล้วมือปืนค่าหัว 2 แสนหนีโทษประหาร

    2010-06-28T07:44:11+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    พ.ต.อ.เอกวัฒน์ โพธิ์เย็นญาติ ผกก.สภ.เขาพนม จ.กระบี่ แถลงการจับกุมตัว นายไพศาล ยั้งเล่ง อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดกระบี่ 6 หมาย และหมายจับของศาลจังหวัดทุ่งสง ศาลจังหวัดพังงา รวมทั้งสิ้นมีหมายจับ 8 หมาย มีค่าหัว 200,000 บาท และเป็นมือปืนอันดับที่ 1 ของตำรวจภูธรภาค 8 โดยจับกุมได้ที่ริมถนนสายเขาพนม-ทุ่งใหญ่ ม.2 ต.พรุเตียว อ.เขาพนม จ.กระบี่ ซึ่งขณะจับกุมผู้ต้องหาต่อสู้ ตำรวจจึงใช้อาวุธปืนยิงใส่ 1 นัด กระสุนถูกขาขวา ขณะนี้ได้ส่งตัวผู้ต้องหาไปรักษาตัวโดยมีกำลังตำรวจดูแลอย่างเข้มงวดแล้ว

    สำหรับการจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พ.ต.อ.เอกวัฒน์ โพธิ์เย็นญาติ ผกก.สภ.เขาพนม พ.ต.ท.ขจิต คงปราบ พนักงานสอบสวนสภ.เขาพนม พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน รับแจ้งว่าจะมีการส่งมอบยาบ้ากันที่หน้าโรงงานผลิตน้ำมันปาล์ม นามหงส์ หมู่ที่ 2 ต.พรุเตียว และผู้ค้ายาบ้ารายนี้ น่าจะเป็นมือปืนอันดับ 1 ของจังหวัดกระบี่ และของภาค 8 ที่ตำรวจต้องการตัวอยู่ด้วย จึงได้จัดกำลังตำรวจ 10 นายไปตรวจสอบ โดยเมื่อไปถึงผู้ต้องหาอยู่ภายในโรงงาน จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ซุ่มปิดล้อม รอจนกระทั่งผู้ต้องหาเดินออกมาที่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า 400 ซีซี สีแดงดำ ทะเบียน กนข 921 กระบี่ เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวแล้วเข้าทำการจับกุม

    แต่ทั้งนี้ระหว่างที่เข้าไปจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ชักอาวุธปืนออกมาจะยิงต่อสู้ ตำรวจจึงได้ยิงสกัดด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าที่ขาขวา และเข้าควบคุมตัวไว้ได้ เบื้องต้นตรวจค้นตัวและรถพบอาวุธปืนขนาด 9 มม.จำนวน 2 กระบอก กระสุน 20 นัด มีดสปาต้า 2 เล่ม จากนั้นจึงได้นำตัวผู้ต้องหาส่ง รพ.เขาพนม แต่เนื่องจากผู้ต้องหามีอาการหนักและมีอาการคุ้มครั่ง เจ้าหน้าที่จึงได้ทำแผลเบื้องต้นและเตรียมนำส่ง รพ.กระบี่ จากนั้นตำรวจสืบสวน ภ.จว.กระบี่ และ ตำรวจ นปพ.กระบี่รวมกว่า 20 นายเดินทางมาสมทบ เมื่อนำขึ้นรถเพื่อเตรียมส่งต่อ ปรากฏว่าได้มีรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ สีบรอนซ์เทา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับเข้ามาจอดหน้ารถของเจ้าหน้าที่ไม่ให้ออกจาก รพ.เขาพนม เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพบชาย 1 คนในรถ และโวยวายไม่ให้นำตัวขัดขวางเจ้าหน้าที่จึงถูกจับกุมทราบชื่อคือนายวิชาญ ยั้งเล่ง อายุ 28 ปี เป็นน้องชายของนายไพศาล เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวส่งสภ.เขาพนม แจ้งข้อกล่าวหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ และตรวจพบฉี่สีม่วงด้วย

    หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำผู้ต้องหารายสำคัญนี้ขึ้นรถแล้วนำส่ง รพ.กระบี่ เบื้องต้นพบมีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ขาขวาบริเวณเข่ารวม 9 รู จากนั้นเมื่อทำแผลเสร็จ ได้ส่งไปรักษาโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบรวมกว่า 10 นาย คอยดูแลอย่างใกล้ชิด

    พ.ต.อ.เอกวัฒน์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ระหว่างนำผู้ต้องหา ส่ง รพ.กระบี่ ได้มีผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ พยายามโทรศัพท์เข้ามาสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการจับกุม และสอบถามถึงจำนวนเจ้าหน้าที่ ที่ควบคุมตัวผู้ต้องหารายนี้หลายครั้ง ซึ่งทำให้น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาอาจจะไม่ปลอดภัย หรืออาจมีการชิงตัวได้ จึงได้จัดกำลังเสริมระหว่างนำส่งรวมเกือบ 50 นายและมีรถยนต์เก๋งคันหนึ่ง ขับด้วยความเร็วสูงแซงรถตำรวจและพยามทำบางอย่างที่อาจเป็นการชิงตัว แต่ไม่สำเร็จ เจ้าหน้าที่จดบันทึกทะเบียนรถเพื่อตรวจสอบต่อไปแล้ว และนอกจากนั้นจะได้ให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนลงพื้นที่ตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย เพื่อหาอาวุธปืนของผู้ต้องหารายนี้ ซึ่งมีอาวุธปืนอาก้า และปืนยิงเร็ว เอ็มซีอยู่อีกอย่างละกระบอกที่ใช้ในการก่อเหตุหลายครั้งต่อไป

    สำหรับนายไพศาล หรือ เสด ยั้งเล่ง เป็นผู้ต้องหาคดีสำคัญ โดยคดีแรกที่ก่อเหตุ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 เวลา 13.30 น. ได้ร่วมกับพวก 3 คน ใช้อาวุธปืนยิงนาย ทวี ดำคล้ำ นายก อบต.กระบี่น้อย ขณะกำลังประชุมสภา อบต.ที่โรงเรียนบ้านนานอก หมู่ที่ 11 ต.กระบี่น้อย อ.เมืองกระบี่ เสียชีวิต ต่อมาตำรวจได้ตามจับกุมตัวไว้ได้ และเมื่อปี 2552 ศาลฏีกาได้ตัดสินประหารชีวิต ซึ่งผู้ต้องหาหลบหนีอยู่ นอกจากนั้นในช่วงที่ระหว่างหนีคดีดังกล่าวได้ไปก่อคดีอื่นๆ อีกหลายคดี โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.เขาพนม ผู้ต้องหายิงผู้ใหญ่บ้าน ที่ ต.หน้าเขา และยิงสายของตำรวจตายรวม 5 คดี นอกจากนั้นผู้ต้องหารายนี้ร่วมกับพวก ยังได้หลบหนีการจับกุม แม้เจ้าหน้าที่จะระดมกำลังเข้าปิดล้อมพื้นที่และมีการยิงปะทะจนล่าสุดก่อนการจับกุม ตำรวจสืบสวนภ.จว.กระบี่ก็ถูกยิงจนบาดเจ็บมาแล้ว และเมื่อปี 2551-2552 ผู้ต้องหากับพวกยังได้ใช้ปืนสงคราม ยิงขู่หน้าป้อมยามตำรวจที่เขาดิน และหน้าเขา จนตำรวจภูธรจังหวัดกระบี่ ต้องส่ง จนท.นปพ.ลงไปสมทบในแต่ละป้อมป้องกันเหตุร้ายมาอย่างต่อเนื่อง