ผู้ตรวจฯ สำนักนายก ตรวจติดตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่กาฬสินธุ์

ผู้ตรวจฯ สำนักนายก ตรวจติดตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่กาฬสินธุ์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำเขตตรวจราชการที่ 12 และคณะเดินทางมาตรวจและติดตามนโยบายเร่งด่วนและโครงการที่สำคัญของรัฐบาลที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (25 มิ.ย.53) ที่ห้องประชุม 4/1 ศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ ชั้น 4 นายบุรินทร์ รุ่งมณี ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำเขตตรวจราชการที่ 12 และคณะ เดินทางมาตรวจราชการประจำปีงบประมาณ 2553 รอบที่ 2 ในส่วนของจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยเน้นนโยบายเร่งด่วนและโครงการที่สำคัญ ๆ ของรัฐบาล รวม 5 ด้าน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าประชุม รายงานผลการปฏิบัติงาน ปัญหา อุปสรรค การแก้ไขและข้อเสนอแนะให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับทราบและนำไปรายงานให้รัฐบาลทราบต่อไป โดยนโยบาย 5 ด้านที่ผู้ตรวจราชการฯ เดินทางมาตรวจและติดตามคือ นโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิต, ด้านเศรษฐกิจ, ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการวิจัยและนวัตกรรม และนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล สำหรับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมาตรวจและติดตามคือโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ซึ่งในส่วนของจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รับงบประมาณ จำนวน 276.6 ล้านบาท โดยแยกเป็นในส่วนของภาพรวมจังหวัดที่จัดสรรให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปดำเนินการ 13 โครงการ เป็นเงิน 132 ล้านบาท ได้มีการดำเนินการและเบิกจ่ายไปแล้ว 7 โครงการ เป็นเงิน 40 ล้านบาทเศษ โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ตอบสนองยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด โดยเฉพาะด้านการพัฒนาการเกษตรและการพัฒนาคต ส่วนที่ 2 จัดสรรผ่านโครงการชลประทานจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 40 โครงการ งบประมาณ 144.6 ล้านบาทเศษ โดยแยกเป็นโครงการประเภทจัดสรรน้ำ 33 โครงการ โครงการจัดหาแหล่งน้ำ 4 โครงการ และโครงการป้องกันภัยจากน้ำ 3 โครงการ ซึ่งทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนระหว่างการดำเนินการ ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะทำให้พื้นที่ด้านการเกษตรได้รับประโยชน์ 110,981 ไร่ นอกจากนี้นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลอีกนโยบายหนึ่งที่ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ตรวจและติดตามคือโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ซึ่งผู้แทนสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด รายงานว่า จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ใช้จ่ายงบเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งไปแล้ว 49 ล้านบาทเศษ โดยนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการนำน้ำไปแจกจ่ายให้เกษตรกรในพื้นที่ 18 อำเภอ คิดเป็นปริมาณน้ำ 16,320,000 ลิตร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook