ในหลวง รับสั่ง 5 รมต.ใหม่ ให้ซื่อสัตย์

ในหลวง รับสั่ง 5 รมต.ใหม่ ให้ซื่อสัตย์

ในหลวง รับสั่ง 5 รมต.ใหม่ ให้ซื่อสัตย์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ในหลวง" รับสั่ง รมต.ใหม่ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน และรัฐบาลจะได้ไม่ถูกวิจารณ์ "ไตรรงค์"ชี้ต้องช่วยกันทุกฝ่ายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

เมื่อเวลา 17.33 น. วันที่ 18 มกราคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้องประชุม ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำรัฐมนตรีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่ จำนวน 5 คน ได้แก่ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.สาธารณสุข นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รมช.สาธารณสุข และนายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร รมช.คมนาคม เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่

โอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราโชวาทต่อรัฐมนตรีที่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน ว่า "เป็นประเพณีที่รัฐมนตรีที่จะเข้ารับตำแหน่ง ต้องปฏิญาณตนว่าจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ข้อสำคัญขอให้ได้ทำจริงๆ เพราะว่าถ้าไม่ได้ทำ ก็จะมีการตำหนิติเตียนทั้งรัฐบาล และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่เป็นมงคลและจะเสียหาย ฉะนั้นขอให้ได้ปฏิบัติตามที่ได้กล่าวคำปฏิญาณ ข้อนี้เป็นของธรรมดา รัฐมนตรีและคณะรัฐบาลจะต้องทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ถ้าทำแล้วจะเป็นประโยชต่อประเทศชาติอย่างจริงจัง ทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง จะได้รับความนับถือว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีเป็นคนที่ดี ปฏิบัติดี ชอบทุกอย่าง ขอให้ท่านได้ทำตามที่ได้ปฏิญาณ เช่นนั้นจะเป็นมงคลต่อรัฐบาล ต่อประเทศชาติ และเป็นมงคลต่อตัวเอง จะทำให้สามารถปฏิบัติงานอย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ต่อประชาชนทั้งประเทศ ขอให้ท่านได้ปฏิบัติตามที่ได้กล่าวปฏิญาณ จะทำให้ประเทศชาติดำเนินงานไปด้วยดี และในเวลาเดียวกันจะเป็นมงคลแก่คณะรัฐมนตรีและต่อแต่ละท่านเป็นส่วนตัวด้วย

ขอให้ปฏิบัติตามที่ได้กล่าวปฏิญาณ จะทำให้บ้านเมืองมีการปกครองที่ดี และมีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ขอให้ท่านได้ปฏิบัติตามคำปฏิญาณนี้ เพื่อที่จะให้ประเทศชาติมีความสุข ความก้าวหน้า ความสงบ ทุกคนจะได้มีสิทธิ ที่จะบอกว่าได้ทำหน้าที่ด้วยดี ในเวลาเดียวกันท่านจะมีความสุข ความพอใจที่ได้ปฏิบัติงานที่ดี เพื่อความสงบของประเทศชาติ ขอให้ท่านได้ปฏิบัติงานได้ครบถ้วน และขอให้เป็นผลงานที่ทำให้บ้านเมืองมีความสงบ มีความก้าวหน้า มีความสำเร็จตามความต้องการของประชาชนทั้งประเทศ ขอให้ท่านมีความดีในตัว ที่จะทำหน้าที่ที่ดีสำหรับประเทศ"

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสให้รัฐมนตรีใหม่ทุกคนทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อความสำเร็จของประเทศชาติและประชาชน จะได้ทำให้รัฐบาลไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และจะได้มีความสุขต่อตนเองด้วย ซึ่งตนก็รับใส่เกล้าฯ และจะนำพระราชดำรัสมาขยายผลในเรื่องของความซื่อสัตย์ต่อตนเองของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้จะเดินทางเข้ากระทรวงศึกษาธิการในวันที่ 19 มกราคม เวลา 07.19 น. เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพบปะข้าราชการผู้ใหญ่ในกระทรวง ก่อนจะเข้าร่วมประชุม ครม.นัดแรก

นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า ให้รัฐมนตรีประกอบหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนเเละจะเป็นประโยชน์กลับมาแก่ตัวเองด้วย ทั้งนี้ ในวันที่ 19 มกราคมจะมาประชุม ครม.ก่อน เเล้วจึงจะเดินทางไปกระทรวง

ส่วนนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข เเละนายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร รมช.คมนาคม ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ โดยบอกเพียงว่า จะให้สัมภาษณ์ในช่วงเช้าก่อนเข้าประชุม ครม.

"ไตรรงค์"ชี้ต้องช่วยกันทุกฝ่ายแก้ปัญหาศก.

ขณะที่นายไตรรงค์ กล่าวว่า ตนพร้อมน้อมรับกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานในหลายเรื่อง โดยเน้นเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต เนื่องจากพระองค์ได้เน้นหลายครั้งซึ่งฟังแล้วเป็นมงคล เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีจะนำแนวทางพระราชดำรัสไปปฏิบัติอย่างไร นายไตรรงค์ กล่าวว่า มีหลายเรื่องที่ตนจะนำใส่เกล้าฯไปปฏิบัติซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องทำอย่างจริงจัง

เมื่อถามว่าแนวนโยบายเร่งด่วนในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจต้องทำอย่างไรบ้าง นายไตรงรงค์ กล่าวว่า เรื่องนโยบายไม่มีอะไรก่อนหลัง แต่ต้องทำไปพร้อมๆกัน ยอมรับว่าเศรษฐกิจโดยรวมของโลกดีขึ้น จึงทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว คาดว่าในปี 2553 เศรษฐกิจไทยจะเป็นบวก ส่วนจะบวกสามหรือบวกสี่ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก เพราะ 70 % ของเศรษฐกิจไทย ต้องพึ่งตลาดโลก โดยเฉพาะการส่งออก ถ้าเศรษฐกิจโลกทรุด เศรษฐกิจไทยก็ทรุดตาม

"แต่เชื่อว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นอย่างช้าๆ เป็นรูปไปน์เชฟ คือ ผลสะท้อนที่ได้รับจะยาวกว่า ซึ่งเราจะไปคาดหวังกลุ่มประเทศจี 3 คืออเมริกา ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศอียูมากไม่ได้ เพราะคำสั่งซื้อเพิ่มมาก จึงต้องหันกลับมามองตลาดเอเชียและอาหรับ นี่คือเรื่องแรกที่รัฐบาลต้องดำเนินการ เรื่องที่สองต้องดูอัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศจี 3 ถ้าเกิดปัญหาเงินเฟ้อจะมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยดังนั้น 6 เดือนแรก คงจะไม่ส่งผลกระทบ" นายไตรรงค์ กล่าวและว่า

ส่วนเรื่องที่สามต้องคำนึงถึงปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันที่มีผลต่อเศรษฐกิจ ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลง จึงต้องจับตาเฝ้าระวัง และเรื่องที่สี่ปัญหามาบตาพุด รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการลงทุน รัฐบาลต้องรีบตัดสินใจและมีแนวทาง มีกฎเกณฑ์นำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้นักลงทุนได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะต้องดูสภาพแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนด้วย ไม่ใช่เน้นเฉพาะการลงทุนเท่านั้น

เมื่อถามว่าท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจมากมายรัฐบาลจะรับมือไหวหรือไม่ นายไตรรงค์ กล่าวว่า แนวทางการทำงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ตนจะแก้ไขโดยไม่ได้เป็นรองนายกฯด้านเศรษฐกิจเพียงคนเดียว แต่ได้บอกพรรคร่วมรัฐบาล และน้องๆพรรคภูมิใจไทย ให้ทุกคนเข้ามาช่วยทำงาน ทุกพรรคในสภา ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ทุกคนต้องร่วมมาเป็นรองนายกฯช่วยแก้ปัญหา เพราะชาติไม่ใช่ของคนชื่อไตรงรงค์คนเดียว

เมื่อถามว่าประชาชนจะฝากความหวังไว้ในการแก้ปัญหาปากท้องไว้กับรองนายกฯชื่อไตรรงค์ได้หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า การแก้ปัญหาต้องแก้หลายคน ตนทำคนเดียวไม่ได้ แต่ตนเข้าใจแนวทางนี้ดี เพราะเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ มา 40 ปี ทั้งปริญญาตรี โท และเอก ปัจจุบันก็เป็นประธานอนุกรรมาธิการเศรษฐกิจมหภาค ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งรวมนักเศรษฐกิจมือหน่างของชาติมาอยู่ในกรรมการชุดนี้ และตนจะคัดเลือก คนที่มีความรู้ ความสามารถ ไม่แสวงหาผลประโยชน์ ไม่เช่นนั้นจะโดนบ้องหู เพื่อเชิญมาเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ที่มาช่วยเพื่อชาติโดยไม่รับเงินเดือน

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรี ตั้งเป้าว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัว 3 - 3.5 จะสามารถทำได้หรือไม่ นายไตรงรงค์ กล่าวว่า เศรษฐกิจขยายตัวตามอัตราดังกล่าวอยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้

เมื่อถามว่ามองว่าสถานการณ์การเมืองภายใน จะส่งผลกระทบฉุดให้เศรษฐกิจไทยทรุดตัวหรือไม่ นางไตรรงค์ กล่าวว่า ปัญหาการเมืองภายในไม่ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนต่างชาติ เพราะเคยชินในระบอบประชาธิปไตย หาก ทุกกลุ่ม ทุกค่าย ทุกสี ชุมนุมภายใต้สิทธิ เสรีภาพของประชาชน โดยไม่ทำให้เกิดความรุนแรง ต่างชาติก็จะเข้าใจถึงการชุมนุมของทุกสี หากเป็นไปด้วยความสงบถือเป็นธรรมชาติของประชาชนที่สะท้อนรัฐบาลรับทราบ แต่ถ้ารุนแรงหรือทำผิดกฎหมาย ต่างชาติก็จะมองประเทศไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไม่มีใครอยากมาลงทุน

เมื่อถามต่อว่า มองว่าการชุมนุมเพื่อหวังผลนำไปสู่ความแตกหักหรือไม่ นายไตรรงค์ กล่าวว่า การชุมนุมเพื่อให้รัฐบาลปรับปรุงนโยบาย หรือเพื่อหวังผลในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็ยังอยู่ในเกมของระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้ายึดสถานที่ราชการก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook