องค์การนิสิต เสนอจุฬาฯ มอบปริญญา พล.ต.ต.ปวีณ ผลงานทลายค้ามนุษย์

องค์การนิสิต เสนอจุฬาฯ มอบปริญญา พล.ต.ต.ปวีณ ผลงานทลายค้ามนุษย์

องค์การนิสิต เสนอจุฬาฯ มอบปริญญา พล.ต.ต.ปวีณ ผลงานทลายค้ามนุษย์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คณะกรรมการกลางบริหาร องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกแถลงการณ์เมื่อคืนวันอาทิตย์ (20 ก.พ.) เพื่อยื่นข้อเสนอให้ผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกปริญญากิตติมศักดิ์ ระดับปริญญาเอก ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ให้แก่ พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ที่ขณะนี้ลี้ภัยในประเทศออสเตรเลีย จากการนำผู้กระทำผิดในการลักลอบนำชาวโรฮิงญาเข้าประเทศและอาชญากรรมที่ต่อเนื่อง มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เมื่อปี 2558

"คณะกรรมการกลางบริหาร องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงเห็นว่า พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ สมควรได้รับพระราชทานปริญญารัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับ พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ และเป็นตัวอย่างอันดีแก่สังคมให้เชิดชูบุคคลที่กระทำความดีโดยสุจริตใจและไม่หวังสิ่งตอบแทน ความดีอันเกิดจากเนื้อแท้แห่งตน ผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ และแม้ต้องเผชิญความยากลำบากแห่งการกระทำความดี ก็หาได้หยุดกระทำความดีนั้น แต่กลับยิ่งเร่งรุดช่วยเหลือผู้คน จนต้องตกระกำลำบากดังเช่นที่ทุกคนทราบกันดี" คณะกรรมการกลางบริหาร องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุ

"นอกนั้นแล้ว การมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ดังกล่าว ยังเป็นการประกาศถึงพันธกรณีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการสนับสนุนผู้กระทำความดีให้เป็นที่เชิดชูของสังคมต่อไป"

"รังสิมันต์" เปิดแผลรัฐบาลเมินแก้ค้ามนุษย์

พล.ต.ต.ปวีณ และผลงานการทะลายเครือข่ายค้ามนุษย์ในภาคใต้ของไทย ได้รับความสนใจจากสังคมอีกครั้ง หลังนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นำมาอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 ก.พ.) ว่ารัฐบาลละเลยการปราบปรามการค้ามนุษย์ จนกระทั่งสหรัฐลดระดับไทยมาอยู่ในกลุ่มประเทศระดับ 2 แบบอยู่ในรายชื่อที่ต้องจับตามอง เมื่อกลางปี 2564 ถึงจะตื่นตัวอีกครั้งในจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับเครือข่ายการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ที่สืบเนื่องจากการสอบสวนที่ พล.ต.ต.ปวีณ ทำไว้เมื่อปี 2558 

"ท่านประธานครับ ย้อนไปเมื่อเดือน มิ.ย. 2564 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือ TIP Report ประจำปี 2021 โดยลดระดับประเทศไทยจากกลุ่มเทียร์ 2 ลงไปอยู่ในกลุ่มเทียร์ 2 วอตช์ลิสต์ หรือเกือบแย่สุดจากทั้งหมด 4 ระดับ" นายรังสิมันต์ กล่าว

"เมื่อไปดูในรายละเอียดก็มีระบุไว้น่าสนใจหลายเรื่องครับ เช่นว่ามีการลักลอบขนคนผิดกฎหมายข้ามชายแดนระหว่างเมียนมากับไทย มีการเรียกเก็บเงิน 10,000-70,000 บาท โดยขบวนการเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่หน่วยงานท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจในท้องที่บางคนปกปิดข้อมูลไว้ไม่ให้ถูกใช้ฟ้องคดี เพื่อปกป้องผู้ค้ามนุษย์ หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลบางคนก็ได้รับประโยชน์ด้วย"

นายรังสิมันต์ กล่าวถึงข้อสังเกตหนึ่งว่า การลดระดับไทยมาอยู่เทียร์ 2 วอตช์ลิสต์นี้ ทำให้ผู้เกี่ยวข้องคนหนึ่งในคดีดังกล่าว ซึ่งก็คือลูกสาวของ เจ๊ง้อ-นางจันทรา ปั้งซวด เพิ่งถูกจับกุมที่ จ.นนทบุรี เมื่อเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว หลังคดีผ่านไปถึง 6 ปี

"คุณปวีณต้องไปตามหาพยานเอง เพื่อขยายผลและออกหมายจับคนที่เกี่ยวข้อง ต่อมามีการค้นบ้านพักกลุ่มผู้ต้องหาใน จ.ระนอง ที่มี พันตำรวจเอก อ. เป็นหัวหน้าชุด พบหลักฐานการโอนเงินของผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ ลงชื่อผู้รับสำคัญๆ เช่น คุณจันทรา ปั้งซวด หรือเจ๊ง้อ" นายรังสิมันต์ กล่าว

"ซึ่งผมก็ทราบข้อมูลมาว่าเจ๊ง้อคนนี้ ฟังให้ดีนะครับ มีสายสัมพันธ์โยงใยไปถึงนายทหารระดับอดีต ผบ.ทบ. ที่อยู๋ในรัฐบาลนี้ด้วย นี่ก็เพิ่งมีข่าวว่าลูกสาวเจ๊ง้อเพิ่งมาถูกจับเอาที่ จ.นนทบุรี เมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากคดีผ่านไปแล้วตั้ง 6 ปี แปลกดีนะครับ หายไปตั้งนาน เพิ่งมาจับได้หลังไทยโดนลดระดับเป็นเทียร์ 2 วอชต์ลิสต์เพียงไม่กี่เดือน สงสัยพอถูกลดระดับก็เลยต้องเร่งมาทำผลงานกระมัง"

การสอบสวนของ พล.ต.ต.ปวีณ ทำให้มีการออกหมายจับพนักงานของรัฐจำนวนมาก โดยเฉพาะ ทหาร จนสร้างความไม่พอใจแก่ผู้บังคับบัญชา จนถูกกดดันให้ลาออก หรือถูกโยกย้ายไปทำหน้าที่อื่นโดยที่ พล.ต.ต.ปวีณ เชื่อว่าการโยกย้ายหรือการกดดันให้ลาออกดังกล่าวจะเป็นภัยต่อชีวิต จึงตัดสินใจลี้ภัยไปประเทศออสเตรเลียในเวลาต่อมา

"ปวีณ" เผยรอเวลาตีแผ่มานาน

พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวผ่านการสนทนาออนไลน์จากประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันเสาร์ (19 ก.พ.) ในงานแถลงข่าวที่จัดขึ้นโดยพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า ว่าที่ผ่านมาตนพยายามพูดเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่กลับไม่มีสื่อมวลชนสำนักใดกล้าตีแผ่เรื่องนี้ จึงเก็บเอาไว้และรอว่าเมื่อใดจะมีผู้กล้านำเรื่องนี้มาเปิดโปง

"ผมก็พูดเปิดเผย แต่เมื่อไม่มีผลตอบรับ ไม่กล้านำเสนอ การพูดไปนั้นมันก็เปล่าประโยชน์ มันก็ปลิวไปในอากาศ มันไม่เป็นเรื่องเป็นราวที่ให้ประชาชนได้รับทราบได้ ผมรอเวลามานาน ใครก็ได้ก็แล้วแต่ ที่จะรับข้อมูลจากของผมเนี่ยไป ผมยินดีอย่างยิ่ง" พล.ค.ต.ปวีณ กล่าว

อดีตตำรวจรายนี้ กล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2563 นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นำเรื่องการค้ามนุษย์ไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร แม้จะอภิปรายได้นิดเดียว ตนก็รู้สึกยินดี ว่าสักวันหนึ่งอาจมีผู้นำเรื่องนี้ไปขยาย

นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ขณะที่ตนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก่อนการยุบพรรคอนาคตใหม่ ตนและพรรคติดต่อไปยัง พล.ต.ต.ปวีณ แต่อดีตตำรวจรายนี้ยังไม่ไว้ใจให้พวกตนนำข้อมูลมาเปิดเผยนัก และหลังจากการอภิปรายนอกสภาฯ ของนายปกรณ์วุฒิ ตนก็ยังติดต่อกับ พล.ต.ต.ปวีณ หลายครั้ง

"จนกระทั่งปลายปี ประมาณกลางปีที่ผ่านมา ก็มีการพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่ง พล.ต.ต.ปวีณ ก็บอกว่าพร้อมแล้วที่จะเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด เราก็ เอ่อ... พยายามที่จะติดต่อไปที่ทางพรรคก้าวไกล แล้วก็ปรึกษาหารือกันว่า ในฐานะเราติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่ อยากให้พรรคก้าวไกลอภิปรายเรื่องราวของค้ามนุษย์ ที่ได้ข้อมูลจาก พล.ต.ต.ปวีณ อีกครั้งหนึ่ง ที่มีข้อมูลที่ครบถ้วนยิ่งขึ้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา" นางสาวพรรณิการ์ กล่าว

"ปรากฎว่า ก่อนที่จะถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.ต.ปวีณ ก็รู้สึกไม่สบายใจนะคะ รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยพอ เพราะว่าข้อมูลที่จะเปิดเผยออกมาเนี่ย เป็นข้อมูลที่ใหญ่โตมากจริงๆ แล้วก็จะส่งผลกระทบกับหลายฝ่าย ตอนนั้นก็เลยจำเป็นที่จะต้องถอนเรื่องออกไป"

"แต่ว่าล่วงเลยมาจนถึงปลายปีเนี่ย คุณปวีณก็ตัดสินใจใหม่อีกครั้งหนึ่ง บอกว่าหลังจากปรึกษากับคนรอบตัวเรียบร้อยแล้วคิดว่าเรื่องนี้ใหญ่เกิดไปที่จะเก็บไว้กับตัว อยากจะให้ประชาชนทั้งประเทศ รวมถึงแวดวงระหว่างประเทศด้วยเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา และกระบวนการยุติธรรม รวมถึงแวดวงตำรวจของไทย"

"ประยุทธ์" ไม่ชี้แจง-ไม่ตอบ ปมค้าโรฮิงญา

ด้าน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันศุกร์ (18 ก.พ.) ไปโดยไม่ชี้แจงเรื่องนี้ต่อนายรังสิมันต์และที่ประชุม ทำให้นายรังสิมันต์ท้วงติงก่อน พล.อ.ประยุทธ์ เดินออกไป โดยมองการไม่ชี้แจงดังกล่าวว่าเป็นพฤติกรรมที่ "อำมหิต" และไม่ใส่ใจต่อความเป็นมนุษย์ของเพื่อนร่วมโลก

เหตุนี้นางสาวกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นตัวแทนของชาวเขตคลองเตยและเขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ประท้วงเพื่อให้นายรังสิมันต์ถอนคำพูดที่รุนแรงออกไป โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นคำใด 

นายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส. จ.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ตัวแทนของชาว อ.ท่าตะเกียบ อ.สนามชัยเขต และบางส่วนของ อ.พนมสารคาม ที่ทำหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันให้นายรังสิมันต์ถอนคำว่าอำมหิตออก และกล่าวกับนายรังสิมันต์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ อาจกลับมาชี้แจงหรือชี้แจงตอนไหนก็ได้ แต่นายรังสิมันต์ไม่ยอมถอนคำว่าอำมหิต ทำให้ต้องออกจากห้องประชุมไป

ส่วนสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยังไร้วี่แววการชี้แจงประเด็นนี้จาก พล.อ.ประยุทธ์ และคนในรัฐบาล

ชาวเน็ตปลุกกระแสบริจาคภาษีให้พรรคก้าวไกล

ผลจากการอภิปรายดังกล่าวยังต่อเนื่องไปถึงโลกออนไลน์ ที่แฮชแท็ก #ค้ามนุษย์ และ #ก้าวไกล ถูกพูดถึงอย่างมากระหว่างวันเสาร์และอาทิตย์ (18-19 ก.พ.) ในเว็บไซต์ทวิตเตอร์ 

ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ใช้งานเว็บไซต์ดังกล่าวหลายบัญชี ระบุว่า ตนตัดสินใจบริจาคภาษีเงินได้ให้แก่พรรคก้าวไกล หลังจากการชมการอภิปรายของ ส.ส. พรรคก้าวไกล

พรรคก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับการอุดหนุนภาษีพรรคการเมืองจากผู้เสียภาษีเงินได้มากที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเผยเมื่อเดือน ต.ค. 2564 ว่าปีภาษีที่สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2563 นั้น พรรคก้าวไกลได้รับเงินอุดหนุนเป็นอันดับ 1 ด้วยวงเงินเกือบ 12.7 ล้านบาท สูงกว่าแชมป์เก่าคือพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้รับประมาณ 3.2 ล้านบาท ตามมาด้วยพรรคกล้า 2.5 ล้านบาท พลังประชารัฐ 2.03 ล้านบาท และพรรคเพื่อไทย 1.42 ล้านบาท

กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองโอนเงินเผยเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา ว่า 5 พรรคที่ได้รับเงินอุดหนุนประจำปี 2565 มากที่สุด คือ พรรคก้าวไกล ที่ 30.1 ล้านบาท ตามมาด้วยพรรคประชาธิปัตย์ 13.13 ล้านบาท พรรคภูมิใจไทย 9.48 ล้านบาท พรรคกล้า 6.56 ล้านบาท และพรรคพลังประชารัฐ 5.7 ล้านบาท

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook