ศบค.-สธ. ประสานเสียงแจงตัวเลขตายจากโควิดพุ่งสูงสุด เพราะมีการทบยอดของวันอื่น

ศบค.-สธ. ประสานเสียงแจงตัวเลขตายจากโควิดพุ่งสูงสุด เพราะมีการทบยอดของวันอื่น

ศบค.-สธ. ประสานเสียงแจงตัวเลขตายจากโควิดพุ่งสูงสุด เพราะมีการทบยอดของวันอื่น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ศบค.-สธ. ประสานเสียง วอนประชาชนอย่าตกใจตัวเลขตายจากโควิดพุ่ง 312 ราย ชี้เป็นข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ก่อน ส.ค. กว่า 100 คน

วันนี้ (18 ส.ค.) พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวในระหว่างแถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวันว่า การรายงานผู้เสียชีวิตในวันนี้ 312 คน เป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่เคยมีมา โดย กทม.ยังมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด 78 คน รองลงมาคือปริมณฑล รวมกัน 70 คน

โดยกรมควบคุมโรครายงานว่า บางจังหวัดมีการรายงานผู้เสียชีวิตสะสม เช่น ลพบุรี รายงานผู้เสียชีวิต 25 คน และชลบุรี 20 คน เนื่องจากใช้เวลาในการตรวจสอบข้อมูล และบางคนเสียชีวิตก่อนที่จะทราบว่าติดเชื้อโควิด-19 จึงทำให้ต้องทบยอดผู้เสียชีวิตมาในวันนี้

สำหรับภาพรวมผู้เสียชีวิตในวันนี้ เป็นชาย 174 คน หญิง 138 คน เป็นคนไทย 305 คน เมียนมา 5 คน กัมพูชา 1 คน และอังกฤษ 1 คน อายุตั้งแต่ 28 - 102 ปี โดยเป็นผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 194 คน คิดเป็น 62% และอายุน้อยกว่า 60 ปี แต่มี 7 โรคเรื้อรัง จำนวน 77 คน คิดเป็น 24% และจากจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในวันนี้เป็นการเสียชีวิตในบ้าน 3 คน ที่ จ.ลพบุรี

covid-dead-180821-1

ทั้งนี้ พญ.อภิสมัย ระบุอีกว่า กรมควบคุมโรคมีการรายงานข้อมูลเด็กติดเชื้อ COVID-19 สะสมกว่า 40,000 คน นับตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. - 16 ส.ค. มีเด็กอายุ 0 - 20 ปี เสียชีวิต 19 คน คิดเป็น 0.12 ต่อประชากร 100,000 คน และมีอัตราผู้เสียชีวิตต่อผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 19 : 51,521 (0.04 : 100) มีค่ากลางเด็กเสียชีวิตอยู่ที่ 14 ปี โดยปัจจัยความเสี่ยงคือ สัมผัสผู้ติดเชื้อในครอบครัว โดยเด็กที่เสียชีวิต 80% เป็นผู้มีโรคประจำตัว

ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขจะเร่งเพิ่มการฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ และเด็กที่มี 7 กลุ่มโรค โดยที่ผ่านมาผู้ปกครองเริ่มนำเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป เข้ารับการฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย

ในขณะที่ นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันนี้ว่า มีผู้เสียชีวิต 312 ราย เป็นชาย 174 ราย หญิง 138 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป สูงถึง 62%

สำหรับตัวเลขผู้เสียชีวิตเป็นข้อมูลย้อนหลัง เนื่องจากต้องมีกระบวนการพิสูจน์ว่าเกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ก่อนจะสรุปผล โดยในจำนวน 312 รายของวันนี้พบว่า เสียชีวิตย้อนหลังประมาณ 100 ราย เป็นการเสียชีวิตก่อนเดือนสิงหาคม 50 ราย และตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม ประมาณ 50 ราย ขณะผู้เสียชีวิต 1 ราย เป็นบุคลากรด่านหน้า ตำแหน่งเวรเปล รพ.แม่สอด มีโรคประจำตัวและยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

นอกจากนี้ นพ.เศวต กล่าวชี้แจงกรณีผู้เสียชีวิตมีประวัติได้รับวัคซีนมากน้อยเท่าไรนั้น ยืนยันว่าวัคซีนทุกชนิดหลังฉีดมีโอกาสติดเชื้อได้หมด เพราะป้องกันไม่ได้ 100% แต่ในจำนวน 312 ราย พบว่าเป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน 147 ราย และฉีด 1 เข็มมี 33 ราย ส่วน 132 ราย อยู่ระหว่างตรวจสอบ ดังนั้นผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือฉีดยังไม่ครบ 2 เข็ม ดังนั้นจึงอยากให้เห็นความสำคัญโดยเฉพาะคนสูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ควรต้องลงทะเบียนเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว พร้อมขอให้ประชาชนตระหนักและป้องกันตัวเองตลอดเวลา แม้จะมีหรือไม่มีความเสี่ยง

ทั้งนี้ นพ.เฉวตสรร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับสถานประกอบการหรือโรงงาน จำเป็นต้องดำเนินการสุ่มตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบชุดตรวจ ATK เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด หากตรวจเจอบางส่วน 10% แนะนำให้ดำเนินมาตรการ Bubble and Seal พยายามแยกส่วนและให้คนงานอยู่ที่พักและที่ทำงาน เหมือนเป็น รพ.สนาม เฝ้าระวังต่อเนื่อง

สำหรับการสุ่มตรวจโดยชุด ATK ถ้าโรงงานมีคนงานน้อยกว่า 100 คน ให้สุ่มตรวจ 50 คน, มากกว่า 75 คน สุ่มตรวจ 50 คน โรงงานขนาด 150 คน ให้สุ่มประมาณ 75 คน ถ้าหลักพันขึ้นไป สุ่มตรวจ 150 คน ซึ่งการสุ่มตรวจเป็นการลดค่าใช้จ่ายแต่การควบคุมการระบาดก็ยังได้ผลดี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook