"ธัญญ่า อาร์สยาม" ควงคุณแม่ย้อนเล่าเรื่องราวในอดีตทั้งน้ำตา กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

"ธัญญ่า อาร์สยาม" ควงคุณแม่ย้อนเล่าเรื่องราวในอดีตทั้งน้ำตา กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

"ธัญญ่า อาร์สยาม" ควงคุณแม่ย้อนเล่าเรื่องราวในอดีตทั้งน้ำตา กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เปิดบ้านต้อนรับทีมข่าวบันเทิง sanook.com เพื่อให้เข้าไปล้วงลึกและเผยความในใจให้ฟังกันเป็นครั้งแรก สำหรับคู่แม่ลูกสายสตรอง ธัญญ่า อาร์สยาม กับ คุณแม่แหม่ม ที่ได้ย้อนเล่าถึงเรื่องราวในอดีตทั้งน้ำตา ซึ่งบอกเลยว่ากว่าจะมีวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

โดย ธัญญ่า อาร์สยาม และ คุณแม่แหม่ม ได้เผยถึงช่วงเวลาที่ลำบากๆ สุด แต่ต้องอดทนและช่วยกันทำมาหากินเท่าที่จะทำได้ จนเริ่มเดินสายประกวดแต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังนับครั้งไม่ถ้วน และสุดท้ายก็มาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักของแฟนๆ ในทุกวันนี้

ธัญญ่าในวัยเด็กมีนิสัยยังไง ?
คุณแม่ :
“เขาเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย รู้เรื่อง แม่เป็นนักร้องที่ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ตอนนั้นแม่ซ้อมร้องเพลงในห้องคาราโอเกะอยู่ เขาอายุขวบกว่าๆ ยังพูดไม่เก่งเลยนะแต่ก็แย่งไมค์เรามาร้องเพลง เราก็ปล่อยให้ร้องถึงแม้จะรู้ว่าร้องไม่เป็นความหรอก ตั้งแต่นั้นเลยทำให้รู้ว่าเขาน่าจะชอบร้องเพลงเหมือนเรา”

แล้วตอนยังเด็ก คุณแม่ในสายตาเราเป็นยังไงบ้าง ?
ธัญญ่า :
“คุณแม่จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เราไม่ลำบากค่ะ ถึงแม้ครอบครัวจะไม่ได้รวยมาก แต่ก็ช่วยกันทำมาหากินตั้งแต่เด็กเลย เขาจะทำให้เรามีกว่าเด็กคนอื่นตลอด ทั้งที่ไม่ได้มีมากแต่ก็จะทำให้เราไม่ลำบากค่ะ”

คุณแม่ : “พื้นฐานแม่จริงๆ จะไม่รวย ครอบครัวหาเช้ากินค่ำ ไม่ใช่หาเช้ากินค่ำด้วยซ้ำ แต่จะเป็นประมาณอดมื้อกินมื้อด้วย คือเราเจอความลำบากมา ก็เลยไม่อยากให้ลูกลำบากเหมือนเรา ถ้าพูดถึงเรื่องอดีตก็จะบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมาเลยค่ะ (น้ำตาคลอ) เราจะพยายามทำให้เขาไม่ลำบากเหมือนเรา เพราะเราเจอมามาก หนึ่งเลยคือไม่มีเพื่อน สองไม่มีเงิน สามไม่มีเสื้อผ้าใส่ สี่ไม่มีแม้กระทั่งรองเท้าใส่ ไม่มีอะไรเลย คือพ่อแม่มีลูกหลายคน เราเลยเลือกที่จะมีเขาเพียงแค่คนเดียวค่ะ ทุ่มเททุกอย่างให้เขาหมดเลยค่ะ และไม่ให้เขาอดยาก ทุกสิ่งที่เราเคยอด เคยไม่มี เขาจะต้องไม่เจอความลำบากเหมือนเรา เราจะทำให้เขาสบายทุกอย่าง”

คุณแม่ : “แต่ในความสบายของเขามันจะมีการทำมาหากิน เขาจะช่วยเราทำงานมาตั้งแต่เด็กเลยนะคะ แม่จะอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่ตอนเขาสองขวบ เราจะอยู่ห้องเช่า แต่ตอนที่ท้องเขายังไม่มีห้องเช่านะ จะเป็นที่พักของคนงาน พ่อเขาจะเป็นช่างซ่อมเคาะพ่นสี จะอยู่ที่อู่ซ่อม มันจะเป็นเหมือนบันไดลิงค่ะ ปีนขึ้นไป พอขึ้นบนห้องก็จะยืนไม่ได้ ต้องก้ม เราอยู่แบบนั้นจนท้องเขาถึง 7 เดือนค่ะ ถึงได้ย้ายออกมาช่องห้องอยู่ ท้องใหญ่ๆ ก็ต้องปีนขึ้นบันไดเราต้องระวังมากๆ”

แสดงว่าธัญญ่าคือพลังสำคัญที่อยากจะทำให้คุณแม่มีชีวิตที่มันดีขึ้น ?
คุณแม่ :
“ใช่ค่ะ และพอคลอดเขาออกมา ในช่วงที่กำลังหัดเดิน แม่ทำหวานเย็น กล้วยฉาบ ทำนู่นทำนี่ขาย ก็พาเขาเดินขายในซอยด้วย เขาจะช่วยแม่กรอกขนม ช่วยคลี่ถุง ช่วยเอาขนมใส่ เขาจะช่วยมาตั้งแต่เด็กเลย”

ธัญญ่า : “หนูจะเห็นความลำบากของคุณแม่มาตลอดค่ะ”

คุณแม่ : “คือเราลำบาก แต่เขาก็จะอยู่เคียงข้างเราตลอดตั้งแต่เด็กมาเลย”

ธัญญ่า และคุณแม่

ตอนนั้นแอบคิดน้อยใจในโชคชะตาตัวเองบ้างไหม ที่ไม่ได้เกิดมามีเหมือนคนอื่น ?
ธัญญ่า :
“ไม่ค่ะ เพราะเหมือนมันสอนให้เราสู้ และรับความลำบาก จนถึงทุกวันนี้หนูยังดีใจอยู่เลยที่ตอนเด็กๆ เราเคยผ่านอะไรมาเยอะมาก ทำให้รู้สึกว่าตอนนี้มันมีค่ามากในชีวิตทำให้เราก้าวมาถึงจุดนี้ เราไม่หลงระเริงเลยว่า ฉันมีชื่อเสียง ไม่เคยหลงกับทรัพย์สินเลย เราจะมองกลับไปตลอดถึงความลำบากที่จะมีมาถึงจุดนี้ เป็นความภาคภูมิใจมากกว่า”

ธัญญ่า : “หนูคิดมาตลอดว่าอยากจะทำให้ครอบครัวเราดีขึ้น ตอนอายุ 16 ก็เริ่มไปร้องเพลงตามผับ ได้เงินเดือนมาคือให้แม่หมดเลย ทำงานตลอดเลย ไม่อยากอยู่เฉยๆ ไม่ชอบที่จะขอตังค์แม่”

เคยคิดไหมว่าอยากไปเล่นกับเพื่อนๆ เหมือนเด็กคนอื่นบ้าง ?
ธัญญ่า :
“หนูเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน เหมือนตอนนี้เราอายุยี่สิบกว่าใช่ไหมคะ บางคนจะมองว่าหนูเด็ก แต่จริงๆ ทุกวันนี้หนูมีเพื่อนที่เป็นผู้ใหญ่หมดเลยนะ ไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกัน อย่างในวงการก็จะเป็น พี่ลาล่า ที่อายุสามสิบขึ้นไปหมด”

เห็นว่าความฝันของคุณแม่อยากที่จะเป็นนักร้อง มีเพลงของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ?
คุณแม่ :
“ใช่ค่ะ เคยทำแต่ไม่สำเร็จ แม่ก็เคยทำอัลบั้มให้เขาตอน 10 ขวบ หมดเงินไปเยอะก็ไม่สำเร็จ เลยมาสู้อีกทีตอนเขาอายุ 15”

ธัญญ่า : “ตอนแรกหนูไม่อยากทำแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันเปลืองตังค์ เราทำเอง โอกาสที่จะสำเร็จก็ยากมาก หนูเลยพักไปก่อน ไปร้องเพลงเล่น แต่พอมาอายุ 16 ปี รู้สึกว่าเวทีประกวดมันเยอะมาก เราก็เริ่มไปประกวดตามจังหวะและไปตามรายการ เดินสายเยอะมาก เวทีไหนที่ชนะมาก็จะเอาเงินที่ได้มาให้แม่”

มีช่วงที่ผิดหวังกลับมาบ้างไหม ?
ธัญญ่า :
“ผิดหวังตลอดค่ะ ไม่เคยชนะเลย และไม่เคยเข้ารอบเลย ส่วนมากเขาจะเอาแต่คนสวยๆ ซึ่งตอนนั้นหนูขี้เหล่มาก (หัวเราะ) หนูก็ไม่ได้ซีเรียสตอนนั้น คิดว่าไปหาประสบการณ์ จนมารู้ว่ามีประกวดของ อาร์สยาม เลยลองดูอีกสักครั้ง ซึ่งปรากฎว่าได้ที่ 1 กลับมาค่ะ เลยทำให้ก้าวขึ้นมาอีกก้าว”

ตอนที่รู้ว่าลูกเราได้ที่ 1 คว้ายชัยชนะมาให้ คุณแม่รู้สึกยังไง ?
คุณแม่ :
“สั่นเลยค่ะ (หัวเราะ) แต่ก็ดีใจเพราะวันนั้นเป็นไม้สุดท้ายแล้ว ขออีกอึดใจเดียว ตอนนั้นมีเงินอยู่ 3,000 คิดว่าต้องไม่พอแน่ๆ เลยยืมป้าข้างบ้านอีก 4,000 รวมเป็น 7,000 เดินทางพาลูกมาประกวดในกรุงเทพฯ”

ธัญญ่า : “ตอนนั้นมันงงๆ คือหนูเป็นคนที่จะชนะก็ไม่ร้อง จะแพ้ก็ไม่ร้อง ส่วนมากจะแพ้ แต่นี่มาชนะ ได้แต่คิดว่ามันจริงๆ เหรอ”

คุณแม่ : “รู้สึกว่ามันคุ้มมากกับสิ่งที่พยายามกัน บอกตรงๆ ตั้งแต่เขาเด็กๆ เราทุ่มเทมากกับอาชีพนี้ แล้วไม่เคยถอยเลย สู้ตลอด”

ธัญญ่า อาร์สยาม ในวัยเด็ก

จากวันนั้นถึงวันนี้ ชีวิตเราเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ?
ธัญญ่า :
“เปลี่ยนค่ะ คือวันที่ชนะแล้วได้เข้าไปในอาร์สยามก็ยังไม่ได้ดังเลย มีเพลงนึง และสักพักพี่เบิ้ลก็เข้ามาเซ็นสัญญากับค่าย เขาเลยหานักร้องที่มีคาแรกเตอร์ใกล้เคียงกัน เป็นเด็กบ้านๆ ซึ่งตอนนั้นมีหนูคนเดียวที่อายุเท่านี้ และเป็นเด็กอีสานด้วย เลยได้เล่นด้วยกัน แต่ตอนนั้นคนยังไม่รู้นะคะว่าหนูร้องเพลงได้ คนจะคิดแค่ว่านางเอกเอ็มวีขี้เหล่ ด่าหนูเต็มเลย (หัวเราะ)”

ธัญญ่า : “จากนั้นหนูก็มาเล่นกีต้าร์คัฟเวอร์เพลง ใจกังวล กับพี่เบิ้ล ที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนทำให้โซเชียลของหนูคนรู้จักมากขึ้นเลย คนแชร์เป็นหมื่นเลย เราก็รู้สึกดีใจมาก คนก็เลยมารู้ว่านางเอกเอ็มวีร้องเพลงได้เหรอ อยากฟังเพลงแก้ เลยได้มีซีรีส์เป็นภาคต่อเป็นเพลงแก้ คนเลยเรียกร้องขอภาคต่อตลอดเพราะเคมีเราดูเข้ากัน ก็เป็นภาคต่อมาจนถึง 6 เพลง เลยกลายเป็นตำนานคู่จิ้น”

พอคนวิพากษ์วิจารณ์เราเรื่องหน้าตา ตอนนั้นเราอ่านแล้วรู้สึกยังไง ?
ธัญญ่า :
“เราอ่านแล้วรู้สึกว่าจะต้องสวยขึ้นให้ได้ ว่าเราอ้วน ดำ ฉันจะต้องผอม”

คุณแม่ : “แต่ดีนะ มันเป็นแรงบันดาลใจให้เขา เขาจะเป็นคนขี้เกียจดูแลตัวเองตรงข้ามกับแม่มาก”

ธัญญ่า : “ห้องน้ำหนูมีแค่สบู่ขวด ยาสระผมขวด แค่นั้นจบแล้ว แต่ก็ดีนะคะมันทำให้หนูพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ หนูจะไม่เก็บมาคิดมาก จะเป็นคนวางไว”

วันนี้ธัญญ่าเหมือนเป็นหัวหน้าครอบครัวเต็มตัวแล้ว ?
ธัญญ่า :
“ใช่ค่ะ ก็รู้สึกว่ามันดีนะคะ มันท้าทายดี มันทำให้หนูเข้มแข็งขึ้นมากๆ เราจะมางอแงหรืออ่อนแอไม่ได้แล้ว ทุกครั้งที่ร้องไห้ก็จะรู้สึกว่าไม่อยากทำให้ตัวเองจิตตก ถ้าจิตตกมันจะยิ่งแย่นะคะเอาจริงๆ เราต้องทำให้สภาพจิตใจเราดีตลอดเวลา แล้วมันจะมีแรง มีพลังในการทำอย่างอื่น”

มีมุมที่แอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวไหม เพราะช่วงนี้งานก็น้อย เงินก็ต้องหา แต่ไม่อยากให้คนในครอบครัวรับรู้ ?
ธัญญ่า :
“มีค่ะ ช่วง 2-3 เดือนก่อนเป็นช่วงที่แย่ที่สุดแล้ว และก็เป็นช่วงที่หนูร้องไห้บ่อยมาก คือมันหลายอย่างค่ะ เราหาทางออกไม่ได้เลย เหมือนเครียดอยู่กับตัวเองตลอด”

คุณแม่ : “อะไรจะเกิดให้มันเกิด เราทำให้ดีที่สุดก็พอค่ะ มันก็มีช่วงโควิดที่เงินเริ่มร่อยหรอ เราก็รู้สึกอึดอัดที่เคยเป็นที่พึ่งให้ลูก ณ ตอนนี้เราเป็นที่พึ่งให้ลูกไม่ได้แล้ว”

เราให้กำลังใจกันยังไงบ้าง ?
ธัญญ่า :
“หนูก็บอกแม่ว่าไม่ต้องคิดเยอะนะ ให้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวหนูจัดการเอง”

คุณแม่ : “เหมือนเขาก็ห่วงเรา เราก็ห่วงเขา หัวอกคนเป็นแม่เนอะ เราเคยเป็นที่พึ่งให้เขามาตลอด แต่ ณ ตอนนี้เราไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับลูกได้ มันก็เลยรู้สึกอึดอัดใจ รู้สึกไม่สบาย เราทำให้ลูกลำบาก (น้ำตาคลอ) แต่เขาก็จะบอกว่าแม่ไม่ต้องคิดอะไรเลย หนูบอกเลยว่าหนูทำได้ หนูต้องผ่านไปได้ แม่ไม่ต้องคิดมาก แม่แค่ทำกับข้าวให้หนูกิน แม่ไม่สบายเป็นกระดูกเคลื่อน กระดูกมันแยกห่าง ทำให้แม่ทำงานหนักไม่ได้ แม่ก็จะไม่สบายใจที่ทำงานไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนแม่จะขายของ ทำนู่นทำนี่ แม่จะหารายได้ของแม่ แต่พอมาสุขภาพไม่ดีปุ๊บ แม่ก็ทำงานไม่ได้แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าเราเป็นแม่ที่แย่มากๆ เลย”

ธัญญ่า : “หนูแค่อยากให้แม่พักผ่อน อยู่เฉยๆ แค่ลงมาข้างล่างเห็นแม่หยิบนู่นทำนี่ให้เรา ก็รู้สึกสบายใจแล้ว แค่ทำกับข้าวให้เรากิน มานั่งดูหนังด้วยกัน เราก็สบายใจแล้วค่ะ มันแค่นั้นเลย หลังจากนี้มันเป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้วที่จะต้องดูแลแม่”

แม่แหม่ม กำลังใจสำคัญของ ธัญญ่า อาร์สยาม

ชื่นใจไหมที่ลูกสาวพูดแบบนี้ ?
คุณแม่ :
“ก็ชื่นใจค่ะ ดีใจที่เราดูแลเขา สอนเขามา แล้วทำให้เขาเป็นคนดี เราเลี้ยงลูกโตเป็น ไม่ใช่เลี้ยงลูกโตไม่เป็น ทุกวันนี้เราคิดนะว่าเด็กอายุเท่านี้ต้องแบกภาระเยอะขนาดนี้เลยเหรอ เราก็คิด แต่เขาก็บอกหนูไหวแม่ หนูมีอะไรเยอะแยะมากมายที่จะทำ แม่ไม่ต้องคิดมากเลย หนูจะพาแม่ผ่านไปเอง หนูจะพาแม่ผ่านไปให้ได้ เขาพูดแบบมั่นใจมากว่าเขาทำได้”

มีอะไรที่เราอยากทำให้คุณแม่อีกไหม ?
ธัญญ่า :
“ทุกวันนี้หนูก็ทำทุกอย่างเลย หาเงินเท่าที่จะทำได้ พยายามหางานในทุกๆ วัน เราแทบจะไม่ว่างเลย อยากให้แม่สบายใจมากกว่า อยากให้รอดูความสำเร็จ อย่างที่หนูบอกแค่มาทำกับข้าวให้กินหนูก็สบายใจแล้วค่ะ แค่นี้เราก็ไม่จิตตกแล้ว เห็นแม่มีความสุข แข็งแรง เราก็มีพลังที่จะทำต่อค่ะ”

สำหรับคู่ของเรา มีวิธีที่แสดงความรักกันยังไงบ้าง ?
ธัญญ่า :
“เอ่อ... หนูจะไม่ค่อย (หัวเราะ) หนูจะทำให้เห็นมากกว่าค่ะว่าหนูทำทุกวันนี้เพื่ออะไร ถ้าเวลาเหนื่อยมากจริงๆ แค่จับมือเขาหรือซบเขาก็แค่นี้ค่ะ”

คุณแม่ : “ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงอุ้มกัน เล่นกัน ชกมวยกัน แต่เด็ยวนี้เล่นไม่ได้เพราะแม่สุขภาพไม่ดี”

มีอะไรจะบอกกันและกันไหม ?
ธัญญ่า :
“หนูอยากจะบอกแม่อย่างที่หนูเคยบอกค่ะ หนูไม่อยากให้คิดมาก อยากให้อยู่เฉยๆ แม่ลำบากมาเยอะแล้ว หนูอยากให้แม่สบาย และอยากทำอะไรให้แม่สบายใจด้วย ทำให้ครอบครัวดีขึ้น หาเงินให้สบายค่ะ”

คุณแม่ : “แรกๆ แม่ก็ไม่ค่อยชินหรอก แต่ตอนนี้ก็เริ่มพยายามทำให้มันชินแล้วว่า คงถึงเวลาที่ต้องให้เขาดูแลแล้ว ถึงมันจะเกินวัยที่เขาต้องมารับผิดชอบ คือมันจำเป็นเพราะถ้าเราอยากจะอยู่กับลูกไปนานๆ เราก็ต้องเชื่อฟังเขา”

อยากจะอวยพรอะไรลูกสาวคนนี้ไหม ?
คุณแม่ :
“ก็ให้เขาสมหวังทุกอย่างที่เขาตั้งใจ แม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันจะสำเร็จ เพราะเขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น สิ่งที่เขาตั้งใจแล้วเขาทำได้สำเร็จทุกอย่าง และตอนนี้ก็มั่นใจว่าสิ่งที่เขาวางไว้ทั้งหมดมันจะสำเร็จเหมือนกันค่ะ”

อัลบั้มภาพ 46 ภาพ

อัลบั้มภาพ 46 ภาพ ของ "ธัญญ่า อาร์สยาม" ควงคุณแม่ย้อนเล่าเรื่องราวในอดีตทั้งน้ำตา กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook