ปชป.ผวาพ.ร.บ.งบฯ53มีปัญหา รมต.เป็นส.ส.งดโหวตเกินครึ่งแค่ 6 มาร์คยันครม.ไม่กลัว ผิดไปพร้อมกัน

ปชป.ผวาพ.ร.บ.งบฯ53มีปัญหา รมต.เป็นส.ส.งดโหวตเกินครึ่งแค่ 6 มาร์คยันครม.ไม่กลัว ผิดไปพร้อมกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ปชป.ผวาร่าง พ.ร.บ.งบฯ53 มีปัญหา หักรมต.ออกแล้ว เกินครึ่งแค่ 6 เสียง หากให้รัฐมนตรีลงคะแนนด้วยก็เกรง พท.ยื่นศาล รธน.ตีความ ให้วิปไปพิจารณาหากเลี่ยงไม่ได้เอาแน่ มาร์คยัน ครม.ไม่กลัว ถ้าผิดก็ต้องไปพร้อมกัน ปชป.ห่วงหักรมต.เกินครึ่งแค่6เสียง

นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.พรรคเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมว่า ที่ประชุมได้หารือกันถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 26 สิงหาคม โดยได้แสดงความเป็นกังวลถึงเรื่ององค์ประชุม ซึ่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่องการลงคะแนนโหวตกฎหมายต่างๆ ของรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส. นายกฯ จึงมอบให้วิปรัฐบาลไปพิจารณา เพราะการลงคะแนนจะต้องรอบคอบ เนื่องจากหากมีปัญหา สามารถยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ ทั้งนี้ จากคะแนนเสียง ส.ส.ของรัฐบาลพบว่า หากต้องลงคะแนนในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ และตัดรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.ออก จะทำให้คะแนนเสียงรัฐบาลเกินกึ่งหนึ่งเพียง 6 เสียงเท่านั้น

นายกฯ จึงแจ้งต่อที่ประชุมว่า ให้วิปรัฐบาลพิจารณาการลงมติของรัฐมนตรีหากวิปรัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็น รัฐบาลก็พร้อมให้รัฐมนตรีร่วมลงคะแนนในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณนี้ แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยจะยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญก็สามารถดูได้ที่เจตนาของรัฐบาลว่าต้องการเพียงให้งบประมาณผ่านสภา ไม่ได้มีเจตนาอื่น รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

สคก.แจ้งครม.กรณีใดบ้างห้ามโหวต

รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม.แจ้งว่า ก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แจ้งให้ ครม.เข้าร่วมประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ระหว่างวันที่ 26-27 สิงหาคม และประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาบันทึกข้อตกลงต่างๆ ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญอย่างพร้อมเพรียง โดยในวันเดียวกันนี้ คุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) แจ้งบันทึก สคก. เรื่อง การออกเสียงลงคะแนนของรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส. ตามมาตรา 177 ของรัฐธรรมนูญ หลังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ทำหนังสือหารือไปเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม โดย สคก. พิจารณาแล้วเห็นว่านายกฯ และรัฐมนตรีทุกคนไม่สามารถออกเสียงลงคะแนนในกรณีที่จะเป็นผลกระทบต่อการดำรงอยู่ หรือจะสิ้นไปของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ เช่น การลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ ตามมาตรา 158 หรือลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามมาตรา 159 แต่สามารถลงคะแนนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ตนกำกับดูแลอยู่ได้ ทว่าต้องไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัว

สำหรับการพิจารณาว่าร่างกฎหมายที่นำเสนอโดย ครม. จะถือว่ารัฐมนตรีเจ้าของเรื่องมีส่วนได้เสียหรือไม่นั้น จำเป็นต้องพิจารณาจากเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของกฎหมายเป็นหลัก หากเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผนดิน รักษาความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคงของชาติ หรือสังคม หรือในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ย่อมไม่ถือว่า ครม. มีส่วนได้เสียในร่างกฎหมายนั้นเพราะเป็นประโยชนส่วนรวม แต่ในบางกรณีแม้ร่างกฎหมายจะใช้บังคับเป็นการทั่วไป แต่รัฐมนตรีบางคนอาจได้รับประโยชน์ส่วนตัว เช่น หากมีการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตสุรา รัฐมนตรีที่ประกอบธุรกิจน้ำเมาจะไม่สามารถใช้สิทธิ ส.ส. ลงคะแนนรับร่างกฎหมายได้ แต่รัฐมนตรีคนอื่นๆ แม้กระทั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังซึ่งเป็นเจ้าของร่างกฎหมายก็สามารถร่วมโหวตได้หมด

มาร์คโหวตแน่-ผิดก็ไปพร้อมกัน

ทั้งนี้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ถามขึ้นว่า อย่างบ้านตนทำธุรกิจไวน์ ถ้ากฎหมายฉบับนี้เข้าสภาจะลงคะแนนได้หรือไม่ ซึ่งเลขาธิการ สคก.ได้ให้คำตอบชัดเจนว่าไม่ได้

ในการประชุมสภาวันที่ 26-27 สิงหาคมนี้ ผมจะโหวตกฎหมายงบประมาณปี 2553 ดังนั้นไม่ต้องกลัว ถ้าผมผิด ผมต้องไป ครม. ทุกคนก็ต้องไปพร้อมกับผมด้วย แหล่งข่าวกล่าวอ้างคำพูดนายอภิสิทธิ์ท่ามกลางเสียงหัวเราะจากรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุม อย่างไรก็ตาม นายกฯได้กล่าวทิ้งท้ายว่า นี่เป็นเพียงความเห็นในชั้นกฤษฎีกา ส่วนศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นตรงกันหรือไม่ ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่า ขณะนี้มี ส.ส.ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 474 เสียง เป็น ส.ส.รัฐบาล 275 คน โดยในจำนวนนี้เป็นรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส. 22 คน ทำให้ที่ผ่านมารัฐบาลเหลือ ส.ส. ที่ร่วมลงมติได้เพียง 253 คน หรือเกินกึ่งหนึ่งมาเพียง 16 เสียงเท่านั้น

ชัยบ่นตัดงบฯ-ต้องกัดก้อนเกลือกิน

นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ถึงปัญหาสภาไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 ตามการเสนอ ท่ามกลางกระแสข่าวนายชัยพยายามดึงเรื่องไม่บรรจุเป็นวาระการประชุมเพื่อต่อรองให้ได้ตามที่ต้องการว่า ได้บรรจุวาระเพิ่มเติมไปแล้ว การประชุมสภาวันที่ 26 สิงหาคม หากสภาเห็นว่าความเดือดร้อนของประชาชนจะต้องใช้เงินงบประมาณแก้ปัญหา ก็คงยกวาระร่าง พ.ร.บ.งบประมาณขึ้นมาพิจารณาก่อนเรื่องอื่น

ส่วนเรื่องที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ให้สำนักงบประมาณไปพิจารณาเกลี่ยงบฯส่วนราชการอื่นมาโปะเพิ่มให้สภา ประธานสภาพอใจหรือไม่นั้น นายชัยกล่าวว่า จะทำอย่างไรได้ เพราะงบประมาณแผ่นดินมีแค่นี้ แล้วแต่ กมธ.จะมองสภาอย่างไร แต่ฝ่ายสภาก็มีหน้าที่ทักท้วง เพราะงบฯที่อื่นไม่ถูกตัด แต่ที่นี่ถูกตัดทั้งที่เป็นศูนย์รวมของประเทศในงานนิติบัญญัติ รวมถึงเป็นที่ที่พิจารณางบประมาณแผ่นดิน แต่แม้สภาจะกัดก้อนเกลือกิน แต่ก็พยายามแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ เช่น การลดปริมาณงานลงให้พอกับงบประมาณ

อ้างไม่ติดใจได้รับงบประมาณน้อย

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีงบฯบางส่วนที่อาจปรับลดได้เช่นงบการเดินทางไปดูงานต่างประเทศของ กมธ.สามัญประจำสภา นายชัยกล่าวว่า งบฯในส่วนนี้ยังมีอยู่ และไม่ได้ขอเพิ่ม ตอนแรกขอไป 100 กว่าล้านบาท แต่ได้รับจัดสรร 70 ล้านบาท แต่สภาขอในส่วนเบี้ยเลี้ยงการประชุมกรรมาธิการ ค่าอาหาร ค่าที่ปรึกษา เพราะถ้าเทียบกับตอนนี้แทบจะไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารของสภาแล้ว ต้องเจียดในส่วนอื่นมา ข้าวห่อของเจ้าหน้าที่ที่มาดูแลความปลอดภัยให้สภา ยังถูกตัดหมด ทั้งที่ก็ต้องกินถึงจะมีกำลังทำงาน แต่ผมไม่ติดใจอะไรกับเรื่องนี้เพราะตกลงกับเลขาธิการสภาแล้ว นายชัยกล่าว

สำหรับงบฯก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ปีงบประมาณ 2553 ไม่ได้จัดสรรไว้ให้นั้น นายชัยกล่าวว่า สภาก็คงต้องขอรัฐบาล อาจจะเป็นในส่วนเงินกู้ เพราะการสร้างสภาใหม่ในขั้นการออกแบบ ทำสัญญา และประมูล เดินไปกว่า 60% แล้ว ซึ่งถ้าประมูลได้ผู้รับเหมา รัฐบาลคงเห็นใจ นายกฯก็เป็นสมาชิกสภาอยู่แล้ว ตนก็ได้หารือกับนายกฯในเรื่องนี้แล้ว ซึ่งนายกฯก็ไม่ขัดข้อง

พท.ซัดสภาฯต่อรองจนได้เพิ่ม94ล้าน

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงผลการประชุมร่วมระหว่างคณะทำงานด้านเศษฐกิจของพรรค และคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ที่ พท.ว่า ที่ประชุมหารือถึงกรณีที่ ส.ส.ได้รับแจ้งเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมจากสภาผู้แทนราษฎรให้ทราบถึงวาระการประชุมสภาวันที่ 26-27 สิงหาคมนี้ โดยการประชุมในวันดังกล่าวไม่มีวาระการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ แต่จากนั้นในวันที่ 24 สิงหาคม ส.ส.ได้รับแจ้งอีกครั้งว่านายชัย ชิดชอบ ประธานสภาจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.)ลงวาระการประชุมฉบับใหม่ โดยบรรจุให้การพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณอยู่ในวาระการประชุมของวันที่ 27 สิงหาคม ซึ่งเป็นการแจ้งเร่งด่วน หลังนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธาน กมธ.เรียกประชุมด่วนนัดพิเศษเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมไม่กี่ชั่วโมง จากการตรวจสอบพบว่าได้มีการต่อรองของบประมาณเพื่อใช้ในหน่วยงานของรัฐสภา โดยนายชัยได้ใช้อำนาจของประธานสภาบรรจุวาระการประชุมเป็นเครื่องมือต่อรองงบประมาณกับรัฐบาล

พรรคเพื่อไทยทราบว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 24 สิงหาคม หลังจากนายชัย บรรจุการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณ เป็นวาระในการประชุม ได้มีการแก้ไขตัวเลขงบประมาณ โดยโยกงบประมาณในส่วนของกระทรวงคมนาคม มาตรา 12 (ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรี ภท.) ในส่วนของกรมทางหลวง ซึ่งแต่เดิมตั้งไว้ 4,771,858,800 บาท ลดเหลือ 4,635,357,800 บาท ลดลง 136,501,000 บาท โดยนำงบประมาณจำนวนดังกล่าวไปเพิ่มไว้ในมาตรา 26 ในส่วนของ แผนงานสนับสนุนการจัดการของรัฐสภา ศาล และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ จากเดิมที่กำหนดไว้ 152,880,000 บาท เป็น 247,800,000 บาท (เพิ่มขึ้น 94,920,000 บาท)นายสุรพงษ์กล่าว

สงสัยโยงเอกชนจบแฮปปี้เอ็นดิ้ง

นายสุรพงษ์กล่าวว่า ยังมีการเพิ่มงบประมาณ 41 ล้านบาทให้กับสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งถือเป็นงบล้างสมองเพื่อให้นำงบประมาณในส่วนนี้ไปอบรม นอกจากนี้เดิมทีแอบได้ยินมาว่านายชัยของบประมาณเพิ่มจากส่วนกลางแต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอม โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขู่ว่าถ้าคุยไม่รู้เรื่องจะยุบสภา สุดท้ายนายชัย เลยยอมให้โยกเงินจากกระทรวงของคนกันเอง รัฐบาลจึงต้องส่งนายกรณ์มาเจรจาเพื่อเร่งประชุมปิดงบประมาณ 2553 เพื่อนำเงินออกไปใช้

เบื้องต้นทราบมาว่า นายชัยต้องการงบประมาณถึง 700 ล้านบาท แต่เหตุใดได้รับเพียงแค่ 130 ล้านบาทกลับพอใจ และจบเรื่องราวอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง พรรคเพื่อไทยจึงขอตั้งข้อสังเกตว่านายชัยจะเงินส่วนนี้ไปเชื่อมโยงเกี่ยวกับการวางเงินมัดจำในบริษัทเอกชนหรือไม่ นายสุรพงษ์กล่าว

คุยมีเอกสารมัดโยกงบฯน่าเกลียด

นายสุรพงษ์กล่าวว่า พท.ไม่สบายใจ เกรงว่านายชัยจะไม่อนุญาตให้มีการถ่ายทอดสดการประชุมร่าง พ.ร.บ.งบฯในวาระ 2-3 เพราะวันนี้ดูเหมือนว่าประชาชนจะไม่ได้รับประโยชน์ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความผิดปกติแต่พรรคจะไม่วอล์กเอ๊าต์ออกจากห้องประชุม แต่จะใช้เวลาทุกนาทีนำเสนอข้อมูลให้สาธารณะได้รับทราบ โดยขณะนี้พรรคได้แบ่งตัวผู้อภิปรายออกเป็น 15 ทีม

หลังจากที่ฝ่ายค้านออกจากห้องประชุม มีการเก็บเอกสารงบประมาณฉบับเก่าออกหมดเพื่อนำไปแก้ไข แต่มีผู้หวังดีแอบเก็บไว้ให้ผม ผมจึงนำข้อมูลของงบประมาณฉบับใหม่มาเปรียบเทียบกับฉบับเก่าที่มีอยู่จึงพบความจริงว่ามีการโยกงบประมาณอย่างน่าเกลียด เรื่องนี้ทำให้เห็นว่านายชัยใช้เสียงข้างมากลากไป ทั้งที่ประชาชนต้องการรับทราบข้อมูล ว่าในการใช้งบประชาชนจะได้รับประโยชน์อะไร สิ่งที่เกิดขึ้นนายชัยทำเหมือนตัวเองเป็นเจ้าขประเทศ วันนี้นายชัยมาบีบงบประมาณจากรัฐบาล อยากทำอะไรก็ทำ สภาผู้แทนราษฎรไม่น่าจะเป็นสภาผู้แทนราษฎรอีกต่อไป ตอนนี้บ้านเมืองเป็นของครอบครัวเดียว นายกรัฐมนตรีเองก็คงอึดอัด เช่นเดียวกับ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ทำเหมือนสภาเป็นสภาโจ๊ก คิดจะบรรจุอะไรเป็นวาระประชุมก็ทำ บ้านเมืองเป็นอย่างนี้อยู่ไม่ได้ นายสุรพงษ์กล่าว

อ้างวิปรบ.ปวดหัว-เกมให้วาระคาไว้

นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการบรรจุระเบียบวาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประปีงบประมาณ 2553 ในการประชุมวันที่ 27 สิงหาคมนี้ว่า ถือเป็นการเพิ่มระเบียบวาระเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ฝ่ายค้านไม่มีปัญหาหากจะพิจารณาทันที แต่ที่น่าสังเกตคือ เหตุใดนายชัย นำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ไปเข้าในวาระปกติ โดยกำหนดเป็นเรื่องที่ กมธ.แล้วเสร็จ ทำให้เรื่องต้องไปต่อแถวจากร่าง พ.ร.บ.หลายฉบับที่เข้าคิวรอการพิจารณาของสภาผู้แทนฯอยู่ จะบอกว่าเป็นการเร่งดำเนินการก็ไม่ใช่ เพราะหากจะเร่งให้เสร็จเร็ว นายชัยสามารถเสนอเป็นวาระพิเศษ แล้วกำหนดวันพิจารณาได้ แต่นี่กลับนำไปต่อแถวจากกฎหมายอื่น หรือจะเป็นสัญญาณส่งให้นายอภิสิทธิ์ทราบว่า ถ้าอยากให้นำเข้าสภา ก็เข้าแล้วนะ แต่จะได้พิจารณาหรือไม่เป็นอีกเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาลก็ปวดหัวอยู่เหมือนกัน

ผมอยากจะถามว่าสิ่งที่ประธานชัยทำวันนี้ มีอะไรกับนายอภิสิทธิ์หรือไม่ ทำไมทำเหมือนจะเร่ง แต่ก็อยากให้คาเรื่องไว้ เพราะมีความเป็นไปได้สูง ที่ พ.ร.บ.งบฯจะไม่ได้พิจารณา เพราะมีกฎหมายสำคัญเข้าคิวรออยู่มาก เรื่องนี้ทำให้คิดได้ว่ามีการวางยากันหรือไม่ เพราะหากพิจารณาไปตามคิว พ.ร.บ.งบฯก็อาจต้องเลื่อนไปเป็นสัปดาห์หน้า ทำให้ชวนคิดไปได้ว่ามีอะไรกัน จะเป็นการต่อรองเกมการเมืองระดับชาติที่กำลังเป็นปัญหากันอยู่หรือไม่ นายวิทยากล่าว

คมนาคมติดอันดับได้งบฯเพิ่ม

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า สำหรับผลการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2553 วงเงิน 1.7 ล้านล้านบาท ของ กมธ.นั้น ในส่วนการปรับลดมีจำนวน 22,505,238,100 บาท โดยหน่วยงานที่ถูกปรับลดมากที่สุด ได้แก่

- รัฐวิสาหกิจ 6.66 พันล้านบาท

- กระทรวงศึกษาธิการ 2.76 พันล้านบาท

- กระทรวงมหาดไทย 2.1 พันล้านบาท

- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 1.96 พันล้านบาท

- กระทรวงคมนาคม 1.78 พันล้านบาท

ส่วนรายการให้ตั้งเพิ่มเป็นจำนวน 22,505,238,100 บาท อาทิ

- รัฐวิสาหกิจ 5.77 พันล้านบาท

- กระทรวงคมนาคม 4.63 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงบลงทุน ในส่วนค่าก่อสร้างถนนลาดยาง รายการปีเดียว 800 กิโลเมตร ของกรมทางหลวงชนบทจำนวน 3.21 พันล้านบาท การปรับปรุงทางหลวง ของกรมทางหลวง 720 ล้านบาท

กระทรวงมหาดไทย จำนวน 4.11 พันล้านบาท

- โดยเฉพาะกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จำนวน 3.11 พันล้านบาท - เงินอุดหนุนแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2.21 พันล้านบาท

กระทรวงศึกษาธิการ 3.81 พันล้านบาท อาทิ

- สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3.71 พันล้านบาท

- เป็นงบลงทุนการก่อสร้างปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเรียน 1.25 พันล้านบาท

- อาคาร สพฐ. 4 จำนวน 7 พันหลัง 2.46 พันล้านบาท

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2.39 พันล้านบาท ในส่วนงบลงทุนของกรมทรัพยากรน้ำ แผนการอนุรักษ์ปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ 1,398 แห่ง จำนวน 2.35 พันล้านบาท

นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐสภายังได้ตั้งเพิ่ม 289 ล้านบาท แบ่งเป็น

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 247 ล้านบาท แบ่งเป็น

- ค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติงานให้ ส.ส. 98 ล้านบาท

- ค่าใช้จ่ายในการจัดสัมมนาของ กมธ.สามัญ 4 ล้านบาท

- ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐสภานานาชาติ (ไอพียู) 94 ล้านบาท

- ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในทางการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แก่ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัด สพฐ. 50 ล้านบาท

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook