WHO ขานรับผลวิจัยยาสเตียรอยด์ "เดกซาเมธาโซน" สามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนัก

WHO ขานรับผลวิจัยยาสเตียรอยด์ "เดกซาเมธาโซน" สามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนัก

WHO ขานรับผลวิจัยยาสเตียรอยด์ "เดกซาเมธาโซน" สามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนัก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เจนีวา, (ซินหัว) — เมื่อวันพุธ (17 มิ.ย.) องค์การอนามัยโลก (WHO) ยินดีกับผลการวิจัยยาเดกซาเมธาโซน (dexamethasone) ที่สามารถรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ ขณะเตือนว่ายาชนิดนี้ไม่ควรนำไปใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง หรือเพื่อจุดประสงค์ในการป้องกันโรค

ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก แถลงข่าวแสดงความยินดีกับผลลัพธ์การรักษาเบื้องต้นในสหราชอาณาจักร ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายาสเตียรอยด์ "เดกซาเมธาโซน" มีผลลัพธ์เชิงบวกต่อผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง

ผลวิจัยเบื้องต้นที่ยื่นต่อองค์การระบุว่า เดกซาเมธาโซนสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจลงราว 1 ใน 3 ส่วนอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่ต้องรับออกซิเจนเพียงอย่างเดียวลดลงประมาณ 1 ใน 5

“นี่ถือเป็นข่าวดีมากสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง” ทีโดรสกล่าว “อย่างไรก็ดี การศึกษาพบว่าเดกซาเมธาโซนไม่เป็นผลดีต่อผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ”

ด้าน ไมเคิล ไรอัน (Michael Ryan) ผู้อำนวยการโครงการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขขององค์การอนามัยโลก กล่าวย้ำว่า เดกซาเมธาโซนเป็น “ยาต้านการอักเสบชนิดรุนแรง” และต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์

ไรอันเสริมว่า ในความเป็นจริงแล้ว ยาสเตียรอยด์ โดยเฉพาะสเตียรอยด์ชนิดรุนแรง อาจเชื่อมโยงกับการเพิ่มจำนวนของไวรัส หรืออาจกล่าวได้ว่ามันมีส่วนช่วยให้ไวรัสแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนในร่างกายมนุษย์”

“เดกซาเมธาโซนไม่ได้รักษาไวรัสโดยตรง รวมทั้งยังไม่ใช่เครื่องมือป้องกันไวรัสด้วย มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ยาชนิดนี้ควรสงวนไว้สำหรับใช้ในผู้ป่วยอาการหนัก” ไรอัน ระบุ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระบุเพิ่มเติมว่า แม้การค้นพบของสหราชอาณาจักรครั้งนี้จะมีความสำคัญ แต่ยังเป็นแค่ “ข้อมูลเบื้องต้นจากการศึกษาเพียงครั้งเดียว” และ WHO ต้องการเห็นข้อมูลขั้นสุดท้ายก่อนปรับปรุงคำแนะนำทางคลินิก และสนับสนุนนานาประเทศให้เข้าถึงและใช้เดกซาเมธาโซนด้วยแนวทางเหมาะสมที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook