ทรัมป์ขู่ใช้กฎหมายปราบจลาจลจัดการกลุ่มหัวรุนแรงกรณีจอร์จ ฟลอยด์ ที่แท้เล็งผลแค่หาเสียง!

ทรัมป์ขู่ใช้กฎหมายปราบจลาจลจัดการกลุ่มหัวรุนแรงกรณีจอร์จ ฟลอยด์ ที่แท้เล็งผลแค่หาเสียง!

ทรัมป์ขู่ใช้กฎหมายปราบจลาจลจัดการกลุ่มหัวรุนแรงกรณีจอร์จ ฟลอยด์ ที่แท้เล็งผลแค่หาเสียง!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อ.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ วิเคราะห์เบื้องลึกเบื้องหลังการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาข่มขู่ว่าจะใช้กฎหมายปราบจลาจลมาจัดการกับกลุ่มที่ประท้วงจนเกิดความรุนแรงจากกรณีจอร์จ ฟลอยด์ ว่าจริงๆ แล้วทรัมป์หวังผลเพียงแค่หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ย. หลังจากความนิยมตกต่ำมากเพราะสอบตกในการแก้วิกฤตโควิด-19

เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 นายจอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันผิวดำถูกตำรวจ 4 นายของเมืองมินนีแอโพลิส มลรัฐมินเนโซตา จับกุมในข้อหาใช้ธนบัตรปลอมในร้านขายอาหารแห่งหนึ่ง ตำรวจกล่าวว่านายฟลอยด์ขัดขืนการจับกุม แต่ภาพจากกล้องวงจรปิดของร้านอาหารใกล้เคียงไม่แสดงให้เห็นว่าฟลอยด์แสดงอาการขัดขืนการจับกุมแต่ประการใด และภาพจากกล้องติดตัวตำรวจเองแสดงให้เห็นว่าขณะที่นายฟลอยด์ถูกใส่กุญแจมือและนอนคว่ำหน้ากับพื้นถนนระหว่างถูกจับกุม ตำรวจผิวขาวชื่อเดริก ชอวิน ใช้เข่ากดคอด้านหลังของนายฟลอยด์เป็นเวลานาน 8 นาที 46 วินาที โดยมีวิดีโอที่ถ่ายจากสมาร์ทโฟนเครื่องหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่านายจอร์จ ฟลอยด์พูดซ้ำๆ ว่า “ขอร้องล่ะ”, “ผมหายใจไม่ออก”, “แม่” และ “อย่าฆ่าผม”

วิดีโอนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในช่องทางสื่อสังคมและในการแพร่ภาพกระจายเสียงของสื่อต่างๆ สำหรับตำรวจอีก 3 คน คือ นายโทมัส เค. เลน, นายทู ทาว และนายเจ. อเล็กซานเดอร์ คูเอง มีส่วนร่วมในการจับกุมฟลอยด์ โดยตำรวจชื่อนายคูเองจับหลังของนายฟลอยด์ในขณะที่ตำรวจชื่อนายเลนจับขาของนายจอร์จ ฟลอยด์ไว้ ส่วนตำรวจชื่อนายทู ทาว ซึ่งเป็นชาวม้งอพยพไปอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่เด็กยืนดูอยู่ใกล้ๆ 

การชันสูตรพลิกศพเบื้องต้นพบว่า ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจอร์จ ฟลอยด์เสียชีวิตจากการหายใจไม่ออก เหตุบีบรัดคอหรือการขาดอากาศหายใจ เหตุช่องอกถูกกดทับ แต่ผลกระทบที่ผสมกันจากความตึงเครียดระหว่างถูกควบคุมตัว โรคประจำตัวซึ่งได้แก่โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจและโรคหัวใจเหตุความดันสูง และสารมึนเมาที่อาจมีอยู่ในร่างกายของเขานั้นน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต แต่การชันสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ครอบครัวของนายฟลอยด์ มอบอำนาจให้พบว่า การเสียชีวิตของฟลอยด์เกิดจากภาวะขาดอากาศหายใจเนื่องมาจากแรงกดทับที่คอและหลัง ซึ่งนำไปสู่การขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง

ปรากฏว่าตำรวจทั้ง 4 นายถูกไล่ออกในวันถัดมาและอดีตตำรวจนายเดริก ชอวิน ผู้ที่ใช้เข่ากดคอนายฟรอยด์นั้นถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมโดยไม่ได้เจตนา

และในเวลาต่อมาได้เกิดการชุมนุมประท้วงโดยสันติที่เริ่มขึ้นที่เมืองมินนีแอโพลิส และการประท้วงได้ขยายวงกว้างไปทั่วประเทศตามเมืองใหญ่ อาทิ นิวยอร์กซิตี้ นครชิคาโก กรุงวอชิงตัน ดีซี นครฟิลาเดลเฟีย เมืองพอร์ตแลนด์ นครลอสแอนเจลิส และเมืองหลุยส์วิลล์ กลับกลายเป็นเหตุความรุนแรงในหลายพื้นที่ในสหรัฐอเมริกา โดยรถยนต์และอาคารสถานที่ถูกเผา มีการทำลายข้าวของและขโมยทรัพย์สินสิ่งของจากร้านค้าต่างๆ

ในขณะที่ตำรวจปราบจลาจลก็ตอบโต้ด้วยการใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางเพื่อควบคุมสถานการณ์ ขณะที่บางพื้นที่รุนแรงถึงขั้นเกิดเหตุจลาจลเช่นที่นครลอสแอนเจลิส ที่ผู้ว่าการมลรัฐแคลิฟอร์เนียต้องประกาศภาวะฉุกเฉินในเมืองและเปิดโอกาสให้กองกำลังทหารสำรองออกมาควบคุมสถานการณ์ นอกจากนี้ยังมีการประกาศเคอร์ฟิวทั่วทั้งเมืองด้วย เริ่มต้นตั้งแต่เวลา 20.00-05.30 น.

ดูเหมือนว่าเมืองที่นายจอร์จ ฟลอยด์เสียชีวิต จะมีความรุนแรงน้อยที่สุด เนื่องจากมีกองกำลังทหารสำรองของมลรัฐมินเนโซตาโดยคำสั่งของผู้ว่าการมลรัฐกว่า 700 นายเข้าช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองมินนีแอโปลิสหลังจากประกาศเคอร์ฟิว

ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ออกมาประณามพฤติกรรมของกลุ่มที่ปล้นและผู้ที่ท้าทายกฎหมาย ซึ่งไม่ให้เกียรติต่อความทรงจำของนายฟลอยด์ ความเกลียดชังไม่ได้เยียวยาเหตุการณ์ ความยุติธรรมต่างหาก ไม่ใช่การก่อความโกลาหล พร้อมเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนหันหน้าสร้างความสงบสุข และจะไม่ยอมให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่ปฏิบัติตนเยี่ยงโจรหรือขโมยมาครอบงำสถานการณ์ โดยกล่าวเป็นทำนองยั่วยุว่า

“เมื่อมีการขโมย ปล้น แย่งชิง จากการประท้วงแล้ว ก็ถึงเวลาที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะใช้กระสุนจริงได้แล้ว”

ครั้นการประท้วงยังคงดำเนินต่อไป ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ออกมาขู่ว่าจะใช้อำนาจตามกฎหมายปราบการจลาจล (Insurrection Act ปี 1807) ด้วยการส่งกำลังทหารประจำการจากส่วนกลาง เข้าไปปราบปรามเหตุจลาจลทั่วประเทศ หากผู้ว่าการมลรัฐบางแห่งยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ของตนเองได้

ทั้งนี้ กฎหมายปราบการจลาจลเป็นกฎหมายเก่าแก่มีอายุถึง 213 ปีมาแล้ว (ออกมาตั้งแต่สมัยปลายรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โน่น) เป็นกฎหมายตั้งแต่สมัยก่อตั้งประเทศสหรัฐเมริกาใหม่ๆ เมื่อมลรัฐทั้งหลายยังไม่เข้มแข็งพอเมื่อเกิดการจลาจลใหญ่ๆ เช่น กบฎต้มเหล้าเถื่อน เป็นต้น

ส่วนในระยะหลังช่วงสงครามเย็น กฎหมายฉบับนี้ถูกนำมาใช้เป็นช่วงๆ เนื่องจากมลรัฐทางภาคใต้ออกกฎหมายกดขี่ชาวอเมริกันผิวดำออกมาใช้เป็นระยะๆ คือ ส่งทหารประจำการจากส่วนกลางหรือใช้อำนาจประธานาธิบดียึดการบังคับบัญชากองกำลังทหารสำรองของมลรัฐนั้นๆ เพื่อช่วยป้องกันความปลอดภัยจากชาวอเมริกันผิวขาวที่คุกคามข่มขู่และฆ่าชาวอเมริกันผิวดำนั่นเอง

ครั้งหลังสุดที่รัฐบาลกลางใช้กฎหมายปราบจลาจลก็ในปี พ.ศ. 2535 เมื่อตำรวจผิวขาว 4 นายถูกตัดสินให้พ้นผิดจากการรุมทำร้ายชายผิวดำ จึงเกิดการจลาจลใหญ่ขึ้นที่นครลอสแอนเจลิส มีการบุกเผาทำลายห้างร้าน บ้านเรือน สถานที่ต่างๆ เมื่อตำรวจคุมสถานการณ์ไม่อยู่ จนกระทั่งผู้ว่าการมลรัฐแคลิฟอร์เนียได้ร้องขอไปเนื่องจากทางมลรัฐไม่สามารถจัดการปราบปรามได้ ประธานาธิบดีจอร์จ เอช.บุช (ผู้พ่อ) จึงใช้กฎหมายปราบการจลาจลนี้ส่งทหารจากส่วนกลางเข้ามารักษาความสงบที่นครลอสแอนเจลิส ซึ่งถือเป็นการนำกฎหมายฉบับนี้มาใช้เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเกือบ 30 ปีมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกากำหนดไว้ว่ารัฐบาลกลางจะไม่สามารถใช้กำลังทหารในประเทศของตัวเองเพราะประชาชนไม่ใช่อริราชศัตรูจากภายนอก เนื่องจากแต่ละมลรัฐมีอำนาจในการบริหารจัดการเป็นของตนเอง เว้นแต่มลรัฐต่างๆ จะเป็นผู้ร้องขอ แต่กฎหมายปราบจลาจลนี้มีขึ้นมาเพื่อให้อำนาจแก่รัฐบาลกลางในการส่งทหารประจำการเข้าไปได้เลยในกรณีที่ทางมลรัฐไม่สามารถจัดการรักษาความสงบเองได้หรือทางมลรัฐจงใจละเมิดกฎหมายของสหรัฐเองเท่านั้น

การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาแสดงท่าทางเข้มแข็งและขู่ว่าจะใช้กฎหมายปราบการจลาจลโดยสั่งทหารราบประจำการเข้าประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.แล้ว และใช้กำลังกับแก๊สน้ำตาขับไล่กลุ่มผู้ประท้วงโดยสันติ เพื่อเดินข้ามสวนสาธารณะลาฟาแยตไปถ่ายรูปตนเองถือคัมภีร์ไบเบิลยืนประกาศว่าจะรักษาความสงบมั่นคงตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดที่หน้าโบสถ์เซ็นต์จอห์นที่ตั้งอยู่ใกล้ทำเนียบขาว

โดยเนื้อแท้แล้วคือ การหาเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้เท่านั้นเอง เนื่องจากความนิยมในตัวประธานาธิบดีทรัมป์เสื่อมลงไปมากหลังจากล้มเหลวในการจัดการรับมือกับโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ของทรัมป์ที่ประมาทมากด้วยการต่อต้านการสวมหน้ากากอนามัย ทำให้ชาวอเมริกันเสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 เป็นจำนวนมากที่สุดในโลก

นอกจากนี้ เศรษฐกิจของอเมริกาตกต่ำฝืดเคืองเป็นอย่างมากเนื่องจากการล็อกดาวน์ ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องพยายามทำทุกอย่างที่จะเรียกคะแนนนิยมกลับคืนมานั่นเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook