นิรโทษกรรมสองสีกับเกม ''ชิงนำกระแส''
ฟังเสียงจาก รอบทิศทาง แล้ว คงเป็นไปได้ยาก อย่างดีก็เป็นได้แค่ความพยายามนำกระแสของพรรคการเมืองผู้นิยมสวมเสื้อสีน้ำเงินเท่านั้น
เอา คู่กรณี ก่อน เสื้อแดง อย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ประกาศว่า ไม่เอาด้วยเพราะสับสนในจุดยืนทางการเมืองและไม่คุ้มหากเอาคดีคนเสื้อแดงที่มีโทษแค่ปิดถนนไปแลกกับ สีเหลือง ที่มีโทษหนักจากข้อหาปิดสนามบิน ขณะที่ สีเหลือง อย่างนายสุริยะใส กตะศิลา กล่าวว่า เป็นข้อเสนอที่มี นัย ซ่อนเร้นเพราะมี บิ๊กตำรวจ บางคนติดร่างแหอยู่และเป็น ความพยายามยกระดับเพื่อไปสู่การนิรโทษกรรมนักการเมื สรุปว่าทั้งสีแดง ทั้ง สีเหลือง สามัคคีกันปฏิเสธ สีน้ำเงิน
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลซึ่งเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ในลักษณะที่ไม่หนุนและไม่ค้านว่า กฎหมายเช่นนี้เป็นกฎหมายลักษณะพิเศษ หากออก พร่ำเพรื่อ ต่อไปอาจทำให้คนละเมิดกฎหมาย พูดง่าย ๆ ก็คือ กล้าทำผิดเพราะรู้ว่าจะได้รับการอภัย
แต่ที่ แรง กว่าใครต้องพรรคเพื่อแผ่นดิน อย่างนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว. อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคที่ให้สัมภาษณ์ว่า แม้จะเห็นด้วยในหลักการ แต่จุดที่ต้อง ตำหนิ คือ เมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันมีอะไรก็ต้องพูดคุยกันไม่ใช่ทำอะไรก็ไม่ปรึกษากันเลย ทำอยู่คนเดียว ทำเช่นนี้ผมก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไรกันแน่หรือทำไปเพื่อแลกอะไรในบางสิ่ง
ฝ่ายตรงข้าม ย่อมเห็น ตรงข้าม นั้นไม่เป็นไร แต่ฝ่ายเดียวกันเห็นไม่ตรงกันเมื่อไรโดยเฉพาะเป็นรัฐบาลร่วมกันด้วยแล้วละก็ ส่อเค้าวุ่น
มีข่าวว่า ประธานวิปรัฐบาลอย่าง นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช ไม่รู้ระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อน
ดู ๆ ไปก็ไม่ต่างจากกรณีที่พรรคภูมิใจไทย ชิงธงนำ ประกาศต้านการถวายฎีกาก่อนหน้านี้
ถ้าใช้การเมืองมาจับก็ต้องบอกว่า พรรคภูมิใจไทยนำกระแสไปกว่าทุกพรรคในรัฐบาล ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ต้องถามตัวเองว่าในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล นอกจากมี เสียง มากกว่าพรรคอื่น ทำอะไรเป็น กระแส ให้นำบ้าง
ถือเป็น ความต่าง ที่พรรคภูมิใจไทยพยายามสร้างและถีบตัวเองให้ออกห่างจากพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง ๆ ที่นั่งทำหน้าที่รัฐบาลด้วยกัน
ชิงไหวชิงพริบกันน่าดู.