พัชรวาทตอกหน้ามาร์คไม่ได้ฟังแถลง ปัดยื่นหนังสือลาไปเมืองนอก ยันไม่ได้เสนอทางออกแค่หารือเฉยๆ
เมื่อถามว่า ช่วงที่ไปราชการที่ประเทศจีนจะให้ใครปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร.กล่าวว่า ตรงนี้ดูตาม พ.ร..ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 72 วรรคแรก ให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา
เมื่อถามถึงที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าระงับการแต่งตั้งโยกย้ายทั้งหมด ผบ.ตร.กล่าวว่า ตอนนี้ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2552 เหลือเพียงประกาศในราชกิจจาฯ ตามกำหนดการเดิมวางไว้ว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้มีผลในวันนี้ 16 สิงหาคม แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องดูอีกครั้ง
แต่ปัญหาที่การแต่งตั้งนายพล 152 ตำแหน่งนั้นผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ไปแล้ว ซึ่งถ้ามีการปรับเปลี่ยนผู้ที่มีชื่อในการแต่งตั้งแล้วอาจมีปัญหา ฟ้องร้องกันได้ ตรงนี้ก็ต้องดูให้ดี ผบ.ตร.กล่าว
เมื่อถามถึงระดับรอง ผบก.ลงมา จะต้องระงับการแต่งตั้งตามที่นายกรัฐมนตรีระบุหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่ได้ฟังที่นายกรัฐมนตรีพูด แต่ไม่รู้ว่าเป็นการเข้าใจผิดกันอย่างไรหรือเปล่า ต้องดูไปตามกฎหมาย
เมื่อถามว่า การทำแบบนี้การเมืองล้วงลูกเรื่องแต่งตั้งหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่ได้ฟังที่นายกรัฐมนตรีพูด อย่างไรก็ตาม ตนสบายอยู่แล้ว ก็ทำงานต่อไป เรื่องปรับเปลี่ยนตำแหน่งของตนที่เป็นกระแสในช่วงนี้ก็เป็นแค่ข่าว ไม่มีอะไร
เมื่อถามว่า การพูดของนายกรัฐมนตรีที่บอกว่า ผบ.ตร.ไม่อยู่ คดีนายสนธิจะคืบหน้าฟังดูเหมือน ผบ.ตร.เป็นอุปสรรค ผบ.ตร.กล่าวว่า ผมไปทำอะไรในคดีนี้ เป็นอุปสรรคตรงไหน คิดกันไปเองตีความกันไปเอง ผมไม่ได้ทำอะไร
เมื่อถามว่า การเมืองกดดันหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่มีอะไรกดดัน ก็เป็นเพียงข่าว
รายงานข่วแจ้งว่า กระแสกดดันการปลด ผบ.ตร.นั้นเกิดจากกลุ่มนักการเมืองที่เป็นคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี พยายามแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ เนื่องจากการแต่งตั้งระดับนายพลครั้งที่ผ่านมา รายชื่อตำรวจที่คนใกล้ชิดดังกล่าวเสนอขึ้นมาไม่ได้รับการพิจารณามากนัก จนสร้างความไม่พอใจและสร้างกระแสข่าวกดดันให้นายกรัฐมนตรีปลด ผบ.ตร.พ้นตำแหน่ง โดยหยิบโยงเอาคดีของนายสนธิมาผูกเป็นประเด็นเพื่อสร้างความสับสนให้สังคมและหาความชอบธรรมเป็นข้ออ้างในการปลด
รายงานข่าวระบุว่า ขณะนี้คนใกล้ชิดของนายกรัฐมนตรีคนดังกล่าว เริ่มแสดงความวิตกกังวลและพยายามขอเอกสารบางอย่างที่ระบุถึงการวิ่งเต้นแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ คืนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากการแทรกแซงการแต่งตั้งนั้นผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา ที่ระบุว่า 266 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งหลักฐานชิ้นนี้ อาจทำให้บุคคลผู้นั้นมีความผิดได้