6 เดือนรัฐบาลสอบตกสมานฉันท์
จากคำแถลงนโยบายรัฐบาลของนายกฯ อภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2551 ในตอนหนึ่งได้ย้ำว่า รัฐบาลถือเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่จะต้องนำประเทศไทยให้รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่กำลังเกิดขึ้นและพัฒนาไปสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน แก้ไขวิกฤติทางสังคมที่มีความแตกแยกและพัฒนาให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ยุตวิกฤติทางการเมืองและปฏิรูปการเมืองให้มีความมั่นคงตามแนวทางระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งดูเหมือนว่า ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลน่าจะ สอบผ่าน สามารถประคับประคองผ่านพ้นไปได้ แม้ไม่รุดหน้าแต่ก็ทรงตัวไม่ทรุดหนักไปกว่าที่ควรจะเป็น ขณะที่ปัญหาสังคมและการเมือง อันเนื่องจากความแตกแยกทางความคิดของผู้คน ถือว่า สอบตก
ช่วง 4 เดือนแรกของรัฐบาล เราจะเห็นความแตกร้าวของคนไทยที่แบ่งแยก แตกเป็นฝักฝ่ายอย่างชัดแจ้ง การชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดงมีการยกระดับความรุนแรงตามลำดับ จนกระทั่งเหตุการณ์ เมื่อช่วงเทศกาลสงกรานต์วันขึ้นปีใหม่ไทย แม้ประเทศจะรอดพ้นโศกนาฏ กรรมที่เกือบมีเหตุให้คนไทยต้องห้ำหั่นเข่นฆ่ากันเอง เพราะรัฐบาลตัดสินใจใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง หลังจากได้ยกกำลังป่วนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา จนต้องล้มเลิกการประชุม และยังพา ฝูงชนบุกกระทรวงมหาดไทยทำลายทรัพย์สินของราชการ ส่วนนายกรัฐมนตรีก็แทบเอาตัวไม่รอดจากม็อบเดือด ถึงวันนี้ความแตกร้าวก็ยังมีให้เห็นเป็นระยะ ๆ
แม้รัฐบาลยืนยันความสำเร็จในนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ที่มีผู้ได้ประโยชน์ถึง 12 ล้านคน ภายใต้งบประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท หรือนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่ระบุว่าประชาชนในภาคอีสานรับประโยชน์มากที่สุด และมาตรการลดรายจ่าย 5 มาตรการ 6 เดือน ที่ประชาชน 12 ล้านได้ใช้น้ำประปาฟรี และประชาชน 35 ล้านคนได้ใช้ไฟฟ้าฟรี แต่กระนั้นคงไม่มีนโยบายใดสำคัญยิ่งกว่านโยบายเสริมสร้างความสมานฉันท์และความสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งเราคาดหวังว่าจากนี้ไปรัฐบาลจะเดินหน้านโยบายนี้ให้เห็นเป็นรูปธรรม หลังจาก 6 เดือนที่ผ่านมา ล้มเหลวไม่เป็นท่า.