สดศรี แฉ ส.ว.ล็อบบี้กกต.ทบทวนคำวินัจฉัยหุ้น สมชายท้าบอกชื่อคนวิ่งเต้น

สดศรี แฉ ส.ว.ล็อบบี้กกต.ทบทวนคำวินัจฉัยหุ้น สมชายท้าบอกชื่อคนวิ่งเต้น

สดศรี แฉ ส.ว.ล็อบบี้กกต.ทบทวนคำวินัจฉัยหุ้น สมชายท้าบอกชื่อคนวิ่งเต้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สดศรี แฉมีส.ว.พยายาม ล็อบบี้ กกต.ทบทวนคำวินัจฉัยหุ้นสัมปทานรัฐและสื่อ ขณะที่ ส.ว.สมชาย เชื่อไม่มีใครทำแน่ ท้าให้บอกชื่อคนวิ่งเต้น บอกออกมาพูดแบบนี้ทำให้ ส.ว.เสื่อมเสีย ปธ.สว.สวนกลับพูดไม่จริง ถ้าล็อบบี้ ต้องมาทำกับตน

นางสดศรี สัตยธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมว่า มีวุฒิสมาชิกบางคนในกลุ่ม 16 ส.ว.ที่ถูกคำวินิจฉัยให้สิ้นสภาพ จากกรณีถือหุ้นบริษัทที่ได้รับสัมปทานรัฐ อาศัยช่วงที่ประธานวุฒิสภายังไม่ส่งคำวินิจฉัยของ กกต.ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ พยายามวิ่งเต้นล็อบบี้ให้ กกต.ทบทวนคำวินิจฉัยดังกล่าวอีกครั้ง

นางสดศรี กล่าวว่า กกต.ได้แจ้งกลับไปแล้วว่า จะไม่มีการทบทวนคำวินิจฉัยดังกล่าวอีกแล้ว และหากต้องการจะให้ทบทวน ก็ควรจะนำหลักฐานไปต่อสู้ในชั้นการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมากกว่า เพราะในส่วนของ กกต.นั้นถือว่าได้ทำงานจบกระบวนการแล้ว ส่วนการที่ประธานวุฒิสภายังไม่ส่งคำวินิจฉัยของ กกต.ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าต้องการตรวจสอบเอกสารให้ถูกต้อง ภายหลังพบว่ามีเอกสารเกินมา 5 แผ่นนั้น นางสดศรี กล่าวว่า ควรจะต้องเป็นหน้าที่ของผู้ที่ร้อง คือนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ควรจะไปดำเนินการร้องเรียนการทำงานของประธานวุฒิสภาฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่มากกว่า

นางสดศรี ยังได้ยืนยันว่า กกต.จะยังคงใช้มาตรฐานเดิมที่ใช้ในการพิจารณากรณี 16 ส.ว.และ 13 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มาใช้ในการพิจารณากรณี 44 ส.ส.แน่นอน และเชื่อว่าการเข้ามาทำหน้าที่ กกต.คนใหม่ของนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น จะไม่ทำให้มาตราฐานดังกล่าวเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน เพราะการวินิจฉันเดิมได้ผูกพันทั้ง 3 กกต.ไปแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่านายวิสุทธิ์ จะอยู่ในกลุ่ม 3 หรือ 1 ก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไปได้

วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา 1 ใน 16 ส.ว.ที่ถูกกกต.วินิจฉัยให้ขาดคุณสมบัติเนื่องจากถือหุ้นในธุรกิจสื่อหรือบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ตนแต่นอน และไม่เชื่อว่า จะมีใครใน ส.ว.ทำแบบนี้ เพราะการวินิจฉัยของกกต.ถือเป็นอำนาจตามกฎหมาย ไม่มีใครจะวิ่งเต้นเพื่อเปลี่ยนมติได้ การที่นางสดศรี อ้างแบบนี้ทำให้เกิดความเสียหายกับส.ว. จึงขอให้เปิดเผยชื่อออกมาว่า ใครทำ

"ตอนนี้ ส.ว.ก็เป็นจำเลยสังคมไปแล้วทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาด ทั้งนี้ ตอนนี้ 16 ส.ว.กำลังเตรียมการชี้แจงในชั้นศาลรัฐธรรมนูญในประเด็น เจตนารมณ์ของกฎหมาย การได้หุ้นมาก่อนรับตำแหน่ง และจำนวนหุ้นที่มีน้อยมากซึ่งไม่สามารถแทรกแซงได้ และกำลังพิจารณาช่องทางร้องไปยังศาลปกครองขอความเป็นธรรมในการวินิจฉัยของกกต.ด้วย" นายสมชาย กล่าว

ขณะที่ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา แถลงตอบโต้นางสดศรีว่า เรื่องการล็อบบี้ไม่เป็นความจริง เพราะขณะนี้คำวินิจฉัยของกกต.ยังอยู่ในความรับผิดชอบของตน และไม่มีใครขอให้ตนส่งคำวินิจฉัยดังกล่าวกลับไปยังกกต.เพื่อให้ทบทวน หากจะล็อบบี้ ต้องมาล็อบบี้ตน แต่ที่ไม่ผ่านไม่มีใครมาล็อบบี้ตน หากล็อบบี้จริง ตนคงไม่สามารถส่งกลับไปยังกกต.ได้ เพราะถือว่าข้อเท็จจริงที่ว่า ส.ว.เหล่านั้นถือหุ้นในสัมปทานของรัฐและสื่อยุติแล้ว เหลือเพียงข้อกฎหมายที่ต้องศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย

"เมื่อกกต.ส่งคำวินิจฉัยมาแล้วไม่มีวันที่จะทบทวนคำวินิจฉัยได้อีกแล้ว คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว คงต้องปล่อยไปตามกระบวนการและตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็ได้คัดสำนวนให้ ส.ว.ทั้ง 16 คนไปศึกษาแล้ว โดยแต่ละสำนวนมีความหนาถึง 3 พันกว่าหน้า ดังนั้น ส.ว.ทั้ง16 คนก็คงต้องใช้เวลาศึกษาสำนวนเพื่อต่อสู้ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ผมไม่เชื่อว่า ส.ว.ใน16 คนนี้จะล็อบบี้เพื่อให้ทบทวนคำวินิจฉัยและถ้าให้ทบทวนคำวินิจฉัยคนที่ไม่ถูกตัดสินให้สมาชิกภาพก็จะลำบาก แต่ก็ไม่รู้ว่านางสดศรีเอาข้อมูลมาจากไหน" นายประสพสุข กล่าว

ส่วนกรณีที่ ส.ว.บางส่วนยื่นร้องต่อศาลปกครองนั้น ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ส่วนตัวไม่อยากให้ไปร้องศาลปกครอง เพราะอยากให้กระบวนการไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ทราบว่าใน ส.ว.16 คนนี้คงไม่ยื่นร้องไปยังศาลปกครองทั้งหมด หากเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้วก็มีความเป็นไปได้ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของ กกต. เพราะการวินิจฉัยถือเป็นเรื่องดุลพินิจและความเห็นทางกฎหมายสามารถแตกต่างกันได้ ทั้งนี้ไม่คิดว่าหากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ตรงกับกกต.ก็ไม่เห็นว่ากกต.ต้องลาออก เพราะถือเป็นอำนาจของกกต.ที่มีคำวินิจฉัยตามหน้าที่ แต่ถ้าเป็นคำวินิจฉัยไม่สุจริตก็ต้องถือเป็นความผิด อย่างไรก็ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต้องถือเป็นที่สุด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook