สุเทพรู้ผลหลุดส.ส.สะดุดสายไมค์หวิดล้ม

สุเทพรู้ผลหลุดส.ส.สะดุดสายไมค์หวิดล้ม

สุเทพรู้ผลหลุดส.ส.สะดุดสายไมค์หวิดล้ม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สุเทพ สะดุดสายไมค์นักข่าวหวิดล้ม หลังรู้ผล กกต.เชือด 13 ส.ส.ปชป. ลั่นไม่หนักใจ ไม่กระทบเสถียรภาพรัฐบาล ขณะที่ตัวเงินตัวทองฟัดเหวี่ยงในบทเลิฟซีนกลางคลองทำเนียบฯอีก ขรก.สะพัดลางไม่ดีของรัฐบาลมาร์ค เลขาฯกกต.ชี้สุเทพยังเป็นรมต.ได้

เมื่อเวลา 17.15 น .วันที่ 16 ก.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วินิจฉัยให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 13 คน ขาดคุณสมบัติ เนื่องจากถือหุ้นในกิจการสื่อและสัมปทานของรัฐ ซึ่งมีชื่อของนายสุเทพ รวมอยู่ด้วยว่า ตนยังไม่ทราบรายละเอียดคำวินิจฉัยดังกล่าวอย่างชัดเจนว่าทั้ง 13 คนนั้นมีชื่อใครบ้าง เพราะมัวแต่ประชุมอยู่ทั้งวัน อย่างไรก็ตามขอให้ตนได้ดูรายละเอียดก่อน ว่าทั้ง 13 คนนั้นมีใครบ้าง และเรื่องราวเป็นอย่างไร

"ส่วนผมนั้นง่าย เพราะผมมีอยู่ในใจอยู่แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไป แล้วผมจะชี้แจงให้ทราบทีหลัง เมื่อผมพร้อมที่จะชี้แจง แต่เรื่องนี้ไม่ส่งผมกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ผมยังไม่รู้ว่ามีใครบ้าง ขอผมไปดูก่อน" นายสุเทพ กล่าว

เมื่อถามว่ามีความหนักใจหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า "ไม่หนักใจครับ"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในระหว่างการให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพ ซึ่งได้รับความสนใจจากกกลุ่มผู้สื่อข่าวเป็นจำนวนมาก จึงเกิดการรุมล้อม เพื่อขอสัมภาษณ์ในขณะที่นายสุเทพเองพยายามที่จะให้สัมภาษณ์น้อยที่สุด โดยพูดไปและพยายามเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ระยะห่างเพียง 2 เมตรเท่านั้น จึงเกิดสะดุดสายไมค์ของโทรทัศน์ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่นักข่าวว่าดันมาสะดุดเอาในวันที่ถูกกกต.ชี้ขาดในเรื่องดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบด้วยว่า ในช่วงเย็นของวันเดียวกันนั้น ที่บริเวณ คลองด้านหลังของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้เกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติขึ้นอีก โดยมีตัวเงินตัวทองหรือคุณวรนัสคู่หนึ่ง ความยาวประมาณ 1 เมตร กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยง ผสมพันธุ์กันอยู่ ท่ามกลางบรรดาข้าราชการ ลูกจ้าง ของทำเนียบรัฐบาล ที่เห็นและจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นลางไม่ดีสำหรับรัฐบาล

"เทพเทือก" โล่งยังเป็นรมต.ได้แม้นถูกกกต.เชือดถือหุ้น

ทั้งนี้ นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณารายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการไต่สวนกรณี นายศุภชัย ใจสมุทร ยี่นคำร้องขอให้ตรวจสอบการกระทำของส.ส. 28 ราย พรรคประชาธิปัตย์ กระทำการอันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 48 ถือครองหุ้นในธุรกิจประกอบมาตรา 265 ถือครองหุ้นในบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานรัฐ เป็นเหตุให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงตามมาตรา 106 ( 6 ) ของรัฐธรรมนูญ โดยมีมติเสียงข้างมากเห็นว่าส.ส. 13 ประกอบดังกล่าว กระทำการอันมีลักษณะต้องห้ามดังกล่าวเป็นเหตุให้สมาชิภาพสิ้นสุดลง ซึ่งก็ได้มีการยกร่างคำวินิจฉัยและยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยคาดว่าจะดำเนินการได้เร็วขึ้นเนื่องจากมีแนวปฏิบัติจากส.ว.แล้ว นอกจากนี้มติเสียงข้างมากยังยกคำร้อง ส.ส. 14 รายที่เหลือ ส่วนม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร อดีตส.ส.กทม. กกต. ไม่ได้พิจารณา เนื่องจากได้ลาออกจากการเป็นส.ส.แล้ว

นายสุทธิพล กล่าวต่อว่า ที่กกต.พิจารณาเช่นนี้นื่องจากก่อนหน้านี้ กกต.เคยส่งเรื่องให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณา และเคยมีมติเมื่อครั้งส.ว. มาแล้ว กกต. จึงได้มีมติไปในแนวทางเดียวกัน โดยการตัดสินครั้งนี้เป็นมติเสียงข้างมาก เช่นเดียวกับการตัดสิน ส.ว.

นายสุทธิพล ยังกล่าวอีกว่า ทั้งนี้แม้ว่าคณะกรรมการไต่สวน จะเสนอรายงานว่ามีบริษัทที่เข้าข่ายต้องห้ามส.ส.ไปถือหุ้นนอกจาก 14 บริษัทเดิมที่กกต.เคยวินิจฉัยแล้ว เพิ่มเติมอีก 4 บริษัทคือ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) บริษัทอสมท.จำกัด (มหาชน) บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท โกล์ว พลังงาน จำกัด (มหาชน) ซึ่งกกต.ก็เห็นตาม แต่ในรายงานสรุปการสอบสวนคณะกรรมการฯมีความเห็นว่า ผู้ถูกร้องถือครองหุ้นมาก่อนเข้าดำรงตำแหน่ง ยังสามารถที่จะถือครองได้ต่อไป จึงมีมติเสนอกกต.ว่าให้ยกคำร้องผู้ถูกร้องทั้งหมด แต่กกต.ยึดการพิจารณาวินิจฉัยกรณีส.ว.เป็นหลักจึงมีมติต่างจากที่คณะกรรมการเสนอ

ส่วนในกรณีของนายสุเทพ ถูกร้องตั้งแต่เดือนก.ค.ปี 2551 ขณะดำรงตำแหน่งส.ส. เมื่อถูกร้องก็ดำเนินการขายหุ้น แต่ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นรมต.เมื่อธ.ค. 2551 ซึ่งกกต.พิจารณาเฉพาะการสิ้นสมาชิกภาพความเป็นส.ส.ตามที่ร้องเท่านั้น ดังนั้นเมื่อนายสุเทพเคยถือหุ้นสามัญในบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหุ้นต้องห้ามที่เคยวินิจฉัยไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ขณะเป็นส.ส. ถือว่ากระทำการเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามให้ต้องสิ้นสมาชิกภาพแล้ว แต่กรณีดังกล่าวถ้าดูตามกฎหมายแล้ว การไม่เป็นส.ส.ก็ยังสามารถเป็นรมต.ได้

เลขาธิการกกต. ยืนยันว่าการพิจารณากกต.นั้นไม่ได้คำนึงถึงเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล แต่เป็นการยึดหลักการตามกฎหมาย ไม่เลือกว่าใครอยู่ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลหรือพรรคร่วม แต่ผู้ที่จะชี้ขาดเรื่องดังกล่าวคือศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัย

นอกจากนี้ที่ประชุมกกต.ยังได้พิจารณากรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นหนังสือให้ขอตรวจสอบคุณสมบัติ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่ามีการกระทำส่อต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ประกอบมาตรา 265 วรรค ( 2 ) และมาตรา 265 วรรค 3 เนื่องจากนางจินตนา ภรรยา ถือหุ้นบ.ทางด่วน กรุงเทพ(จำกัด) จำนวน 100 หุ้นเป็นเงิน 1 แสนบาทถ้วน โดยที่ประชุมมีมติเอกฉันท์เห็นตามที่คณะกรรมการไต่สวนเสนอให้ยกคำร้องเนื่อง หุ้นที่นางจินตนาถือเป็นหุ้นกู้ ซึ่งถือว่า บริษัทฯ เป็นผู้ยืมเงินจากผู้ถือหุ้น โดยมีผลตอบแทนอยู่ในรูปแบบดอกเบี้ยและมีกำหนดการไถ่ถอนที่แน่นอน ถือว่าผู้ถือหุ้นมีลักษณะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท ไม่มีอำนาจก้าวก่ายแทรกแซงกิจการ หรือเข้าไปจัดการในบริษัทดังกล่าว ดังนั้นการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิ้นของนายกษิตและคู่สมรสที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ขณะที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีวันที่ 22 ธันวาคม 2551 จึงไม่เข้าข่ายให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกษิตต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 182 ( 7 )

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook