ละครหรือมิวสิคฯ
นิมิต ประชาชื่น
ถ้าพูดถึงละครไทย ปัจจุบันไม่มีใครเกินหน้า ช่อง 3 และ ช่อง 7 ที่ต่างแข่งขันผลิตเพื่อช่วงชิงเรตติ้ง
แต่ละช่อง ต่างมีสไตล์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ช่อง 3 เน้นละครสต็อก ถ่ายทำจนจบ ดูข้อบกพร่อง ไตร่ตรองถ้วนถี่แล้ว ถึงได้นำออกอากาศ
จะเสียเปรียบหน่อยก็ตรงที่ ถ้าละครถูกดองนานเกินก็อาจทำให้ละครดูล้าสมัย
ส่วนช่อง 7 นิยมละครถ่ายไปออกอากาศไปได้ผลตอบรับทันใจ
อันนี้ได้เปรียบตรงที่สามารถปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่บกพร่องได้ทันที
สามารถเสริมเติมบทให้เข้ากับเหตุการณ์ ทันยุคทันสมัย
แต่การถ่ายไปออกอากาศไปของละคร ก็ใช่ว่าจะได้เปรียบเสมอไป
เพราะมีข้อจำกัดของ เวลา ที่อาจทำให้ละครด้อยคุณภาพลง
เห็นชัดก็ละครที่กำลังออกอากาศอยู่ในตอนนี้
เป็นประเภทนางเอกคุณหนูที่ตกระกำลำบาก แต่ยังมีความเย่อหยิ่งในตัว ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร
นางร้ายร้ายมา นางเอกร้ายกลับ ตบนางร้ายคว่ำไม่เป็นท่า
เมื่อคนเขียนบทละครเขียนบทไม่ทัน ผู้สร้างก็ต้องใช้กลยุทธเข้าไปช่วยประทังเวลา
ยืดแล้วยืดอีก ขยายจนเป็นหนังสติ๊ก
ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคนิคย้อนนึกภาพของนางเอกและพระเอก
การนั่งเหม่อนึกคิดของพระนางที่ปล่อยอารมณ์ไปตามเพลงประกอบของเรื่อง
บางครั้งรันยาวไปเต็มเพลง
แทนที่จะได้ดูละคร ที่มีนักแสดงมาแสดงบทบาทโต้ตอบกัน
แต่กลับกลายเป็นว่า ได้ดูมิวสิควิดีโอหนึ่งเพลงเต็มๆ
ฟังเพลงเพลินๆ กินเวลาไปหนึ่งตอน ก็สลับเข้าโฆษณาพอดี
ไม่ได้มีความคืบหน้าของเนื้อหาละคร
ปัญหาที่เกิด อาจเป็นเพราะการเตรียมความพร้อมไม่ดีพอ จนต้องมีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม
แต่ผู้ผลิตก็ไม่ควรผลักภาระนี้มาให้แฟนละคร
ที่ต้องมาทนดูละครซึ่งกลายเป็นมิสิควิดีโอไปโดยปริยาย
อย่างนี้ไม่เป็นการเอาเปรียบคนดูไปหน่อยหรือ