ตำรวจแถลงจับ 8 นักเลงคีย์บอร์ด แชร์ข่าวลือ "บิ๊กช้าง" บงการตีหัว "จ่านิว"

ตำรวจแถลงจับ 8 นักเลงคีย์บอร์ด แชร์ข่าวลือ "บิ๊กช้าง" บงการตีหัว "จ่านิว"

ตำรวจแถลงจับ 8 นักเลงคีย์บอร์ด แชร์ข่าวลือ "บิ๊กช้าง" บงการตีหัว "จ่านิว"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปอท.แถลงข่าวจับกุม 8 ใน 13 ผู้ต้องหาที่ร่วมกันแชร์ข่าวแอบอ้าง "บิ๊กช้าง" เป็นผู้บงการทำร้ายร่างกาย "จ่านิว" ได้รับบาดเจ็บ ล่าสุดยืนยันรู้ตัวคนทำแล้ว แต่ต้องเก็บเป็นความลับก่อน

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ โฆษกกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวชี้แจงกรณีโซเชียลมีเดียแชร์ภาพและข้อความอ้างว่า พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย หรือ บิ๊กช้าง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) อยู่เบื้องหลังเหตุทำร้าย นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว

โดยข้อความดังกล่าวระบุว่า “เรื่องใหญ่ที่ท่านผู้การกองปราบ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ต้องแก้ปัญหา ที่มีตำรวจชั้นประทวนในสังกัด กองปฏิบัติการพิเศษกองปราบ 4 คนไปช่วย พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร. เคยคุมกองปราบมาก่อน เลี้ยงตำรวจโจรในกองปราบไว้ใช้ ได้ก่อเหตุไปดักตีหัว จ่านิวและฟอร์ด กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เป็นลูกน้องแขนซ้ายของ พล.อ.ประวิตร นั่นเอง และ รองช้าง หรือ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย หัวหน้าแก๊งสีกากี ตามกระทืบนักกิจกรรม เอกชัย, ฟอร์ด, จ่านิว”

พ.ต.อ.กฤษณะ ระบุว่า ข้อความดังกล่าวถือว่าไม่เป็นความจริง เป็นการบิดเบือน หวังผลให้เกิดความเสียหายต่อ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงเกิดความตื่นตระหนกในสังคม ซึ่ง ปอท. ได้สืบสวนพบกลุ่มบุคคลจำนวน 13 คน ที่ทำหน้าที่นำเข้าข้อมูลดังกล่าวสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และช่วยกันแชร์ข่าว ซึ่งเมื่อวานนี้(9 ก.ค.) ผู้ต้องหาเข้ารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว 8 คน โดยยอมรับว่าแชร์ข่าวจริง แต่ไม่ทราบว่าเป็นข่าวปลอม อีกทั้งการสืบสวนยังพบว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดไม่รู้จักกัน แต่มีความชื่นชอบแนวทางด้านการเมืองในทิศทางเดียวกัน และไม่ได้รับผลประโยชน์ในการส่งต่อข้อความแต่อย่างใด

สำหรับการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดในข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนตามมาตรา 14(2) พรบ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ขณะเดียวกัน ตำรวจยังสืบสวนพบว่าในกลุ่มผู้ต้องหา มี 3-4 คนที่ใช้บัญชีโซเชียลมีเดียปลอมหรืออวตาร เพื่อปกปิดตัวตน ป้องกันตำรวจสืบสวนจับกุม ส่วนอีก 5 คนที่เหลือ จะเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนในสัปดาห์นี้

อย่างไรก็ตาม การสอบสวนตำรวจทราบแล้วว่ามีบุคคลที่สร้างเนื้อหาข่าวปลอม เพื่อให้กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 13 คน แชร์ต่อโดยจะติดตามจับกุมเร็ว ๆ นี้ ซึ่งคดีนี้พนักงานสอบสวน ได้มีการสอบปากคำ รอง ผบ.ตร.และ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้การกองปราบ ประกอบสำนวนแล้ว ซึ่ง พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงถูกพาดพิงให้เกิดความเสียหายกับกรณีทำร้ายจ่านิว

ส่วนข่าวปลอมเรื่องเครื่องเจ็ทตำรวจและข่าวทำร้ายจ่านิวจะเป็นขบวนการผลิตข่าวปลอมเดียวกันหรือไม่ หากจับกุมและสอบสวนผู้ที่ผลิตเนื้อหาข่าวปลอมได้ ก็จะทำให้ทราบถึงความเชื่อมโยง แต่เบื้องแม้ทั้งสองข่าวจะมีชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพล.ต.อ.ชัยวัฒน์ ทั้งสองข่าว แต่พบว่ายังไม่มีความเชื่องโยงกัน

ทั้งนี้ พ.ต.อ.กฤษณะ ยังกล่าวว่า สำหรับคดีทำร้ายร่างกาย จ่านิว พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานไปแล้ว 15-20 ปาก และตรวจสอบกล้องวงจรปิดเส้นทางการหลบของคนร้าย พบว่าบางจุดชำรุดเสียหายจับภาพคนร้ายไม่ได้ อย่างไรก็ตามจากการสืบสวนคนร้ายน่าจะเตรียมตัวมาอย่างดี อาศัยช่วงที่การจราจรติดขัดลงมือก่อเหตุ ขอให้ทางผู้เสียหายและสังคมมั่นใจว่าตำรวจยังคงทำคดีนี้อย่างเต็มที่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook