ทิม พิธาเปิดใจมีการฟ้องหย่า ต่าย ชุติมา ทิมเผยตนได้สิทธิ์เลี้ยงดูบุตรแต่เพียงผู้เดียว

"ทิม พิธา" เปิดใจมีการฟ้องหย่า "ต่าย ชุติมา" เผยตนได้สิทธิ์เลี้ยงดูบุตรแต่เพียงผู้เดียว

"ทิม พิธา" เปิดใจมีการฟ้องหย่า "ต่าย ชุติมา" เผยตนได้สิทธิ์เลี้ยงดูบุตรแต่เพียงผู้เดียว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กลายเป็นประเด็นดราม่าที่หลายคนต่างก็จับตามอง เมื่ออดีตนักแสดง ต่าย ชุติมา โพสต์ข้อความตามหาลูกสาว น้องพิพิม ผ่านทางอินสตาแกรม ที่นัดรับส่งไว้กับสามีนักธุรกิจ ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แต่เมื่อถึงเวลาที่ตกลง สามีและลูกกลับไม่ได้มาเจอกันตามนัด จึงทำให้เธอรู้สึกร้อนใจจนต้องขอแรงชาวโซเชียลช่วยกันแจ้งเบาะแส พร้อมกับทิ้งท้ายด้วยการวอนขอด้วยว่า "แกล้งเธอแค่คนเดียวก็พอ อย่าให้ต้องเป็นห่วงลูกมากไปกว่านี้เลย"

 

ในขณะเดียวกัน ภายหลังฝ่ายชายก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความตอบกลับผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวว่า "ลูกสาวปลอดภัยดีและอยากขอให้เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องภายใน รวมถึงปฏิบัติตามคำสั่งศาลน่าจะดีที่สุด" ซึ่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ชาวเน็ตว่า สุดท้ายแล้วสถานะชีวิตรักระหว่าง ต่าย และ ทิม นั้น ณ เวลานี้ อยู่ในจุดไหนกันแน่

โดยล่าสุดทางด้านของ ทิม พิธา ก็ได้ถือโอกาสตั้งโต๊ะแถลงข่าว ณ Grande Centre Point Sukhumvit 55 เพื่อชี้แจงถึงประเด็นดราม่าที่หลายคนยังคงคาใจ ซึ่งเจ้าตัวได้เผยว่า "ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะต้องออกมาพูดด้วยรอยยิ้มที่ฝืนและหัวใจที่หนักอึ้ง"

 

"สาเหตุที่คิดว่าจะต้องออกมาอธิบายให้พี่ๆ สื่อมวลชนฟังก็คือ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมต้องยอมรับว่า ความรักของผม มันมาถึงทางตันเป็นระยะเวลานานกว่า 13-14 เดือนแล้ว คงไม่มีใครหรอกครับที่อยากจะให้มันออกมาเป็นในลักษณะนี้ แต่เราก็ต้องยอมรับ ยอมรับว่าตัวผมเองก็พยายามเต็มที่แล้วที่จะประคับประคอง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการพูดคุยกันเอง การพูดคุยผ่านผู้ใหญ่ที่เคารพ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญเกี่ยวกับการดูแลชีวิตคู่ แต่ในที่สุดมันก็ไม่สำเร็จ และทำให้บทบาทการเป็นสามีภรรยาของเรามันต้องยุติลง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายอยู่ เพราะยังไม่ได้มีการไปเซ็นใบหย่ากันที่เขต"

"ถึงแม้ว่าบทบาทการเป็นสามีภรรยาของเราจะไม่ได้ไปต่อ แต่บทบาทการเป็นพ่อเป็นแม่ของเรายังคงมีอยู่ ดังนั้นผมจึงอยากให้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือกันเลี้ยงลูก"

"สำหรับลูกสาวของผมแล้วสิ่งที่เป็นสิทธิ์ของเขา และผมไม่มีสิทธิ์แม้ผมจะเป็นพ่อ นั่นก็คือผมไม่สามารถอธิบายให้ทุกคนฟังได้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูก จากความไม่เข้าใจของพ่อกับแม่นั้นมันมีมากมายถึงเพียงใด เอ่อ...ผมจึงมีความเป็นห่วงลูกสาวเป็นหลัก เพราะสำหรับชีวิตของผมเองโดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่มีปัญหาเลย ผมยินดีที่จะไปต่อด้วยตัวผมเองคนเดียว ผมอยู่คนเดียวก็มีความสุขได้ อยู่เป็นคู่ก็มีความสุข มันอยู่ที่ใจเรา แต่สิ่งที่ผมห่วงมากที่สุดก็คือลูก ผมอยากให้ลองนึกถึงหัวใจกระดาษของเด็กอายุ 2-3 ขวบ"

จริงๆ แล้วลูกสาวของเราเขาเป็นเด็กร่าเริงนะครับ แต่ด้วยความที่เขาได้รับผลกระทบพอสมควร มันจึงทำให้เขามีทั้งความเครียดและความสับสนที่เกิดจากความผิดของพ่อและแม่ ซึ่งตลอด 6-7 เดือนที่เราแยกบ้านกันอยู่ เอ่อ...จริงๆ ผมมีเอกสารเป็นใบรับรองจากผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กนะครับ เป็นคำแนะนำว่าในฐานะพ่อผมก็ควรที่จะปกป้องลูก โดยที่ลูกไม่ควรรับกรรมจากความไม่เข้าใจกันของผู้ใหญ่"

"เรื่องนี้คุณต่ายเขาได้พูดเองว่าข้อตกลงของเขาคือ ให้ลูกย้ายไปอยู่บ้าน 5 วัน ต่อ 5 วัน ซึ่งผมอยากจะถามผู้ใหญ่ทุกคนในห้องนี้หน่อยว่า มีใครไหมครับที่อยากจะย้ายบ้านทุกๆ 5 วัน หรือมีใครไหมครับที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับกระเป๋าเดินทาง ที่ทุกๆ 5 วันจะต้องย้ายตุ๊กตาจะต้องเก็บเสื้อผ้าไปอยู่อีกบ้านโดยที่ไม่มีคำอธิบาย ฉะนั้นแล้วสิ่งที่อยู่ในใบรับรองที่ผู้เชี่ยวชาญเขียนมาก็คือ ความผาสุกของลูกเป็นสิ่งสำคัญ ความมั่นคงทางอารมณ์ของลูกเป็นสิ่งสำคัญ หากเกิดความสับสนซ้ำๆ แบบนี้มันจะส่งผลต่อเขาในระยะยาว ดังนั้นผมจึงอยากจะพูดคุยกับคุณแม่ว่า เรามากำหนดวิธีเลี้ยงดูลูกด้วยกันเถอะ"

"หลายคนอาจจะมองว่าทำไมคุณพ่อถึงใจเสาะ หรือทำไมคุณพ่อถึงคิดมากจนเกินไป จริงๆ แล้วไม่ใช่นะครับ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญถึง 7 คน ที่มองว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ลูกจำเป็นจะต้องมาเจอ การที่พ่อกับแม่อยู่กันคนละบ้านและบังคับให้เขาไปๆ มาๆ แทนความสะดวกสบายของพ่อแม่ ทางความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเขามองว่ามันไม่ถูกต้อง ดังนั้นที่ผ่านมาผมจึงพยายามที่จะพูดคุยกัน แต่ก็ยังไม่สำเร็จ และลูกสาวเราก็ยังได้รับผลกระทบต่อไปเรื่อยๆ"

IG tim_pitaต่าย ชุติมา และ ทิม พิธา เมื่อครั้งที่รักยังหวาน

"ซึ่งพอผมปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลลูกสาวมาตลอดว่า เมื่อมันถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างการพูดคุยกันต่อไปและการปกป้องลูก ทางผู้เชี่ยวชาญเขาก็ได้ให้คำแนะนำมาว่าคงจะต้องพึ่งพาคนกลาง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจว่าต้องฟ้องหย่า เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเพื่อเป็นการปกป้องลูก"

"พอมีการฟ้องหย่าเกิดขึ้น ก็มีการไต่สวนไปเมื่อวันที่ 11 เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งก็ต้องให้ความเป็นธรรมว่าคุณต่ายขาดนัดศาลไม่ได้มาตามกำหนด จึงทำให้ศาลดูหลักฐานจากทางผมแค่ฝ่ายเดียว จากนั้นศาลก็ได้ให้คำตัดสินพิพากษาว่าให้หย่าขาดจากกัน แต่ก็อย่างที่ได้เรียนไปว่าเรายังไม่ได้มีการจดทะเบียนหย่ากันที่เขต เพราะฉะนั้นตามกฎหมายเราก็ยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ รวมถึงศาลยังให้สิทธิ์ปกครองบุตรกับผมแต่เพียงผู้เดียว ขอย้ำอีกทีหนึ่งนะครับว่าคุณต่ายขาดศาล และตอนนี้คุณต่ายก็ขอคำร้องเรื่องการขออุทธรณ์เพื่อที่จะรื้อคดีใหม่อีกครั้ง ซึ่งตัวผมเองก็คิดว่าไม่เป็นไรปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการทางศาลไปดีกว่า"

"สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด ผมได้เดินทางไปที่เซ็นทรัลเวิลด์โดยที่ในใจของผม ผมคิดไว้แล้วว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะอย่างที่คุณต่ายเองก็ได้พูดเอาไว้ที่สน. ว่าเรามักจะมีปัญหานิดหน่อยเวลาที่ส่งมอบลูก ซึ่งผมก็ยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูดมันเป็นเรื่องจริง คือถ้าหากพิพิมเขาอยากจะไปผมก็โอเค เพราะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเขาบอกว่า ไม่ว่าลูกจะเด็กแค่ไหนคุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกเป็นหลัก ถ้าลูกโอเคยิ้มแย้มแจ่มใสเราก็โอเค แต่ถ้าหากลูกร้องหรือบอกว่าไม่อยากไปผมก็คิดว่าวันนั้นผมจะไม่ให้ไป"

แสดงว่าช่วงหลังมานี้พิพิมเขามีอาการร้องไห้และไม่อยากจะไปใช่ไหม ?

"ใช้คำว่ามีปัญหาอย่างที่เขาพูดดีกว่าครับ อย่าให้ลงรายละเอียดเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพื่อสิทธิของพิพิมครับ คือถ้าส่งมอบครั้งนี้ไม่มีปัญหาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีปัญหาผมคงยอมไม่ได้ ซึ่งผมขอพูดตรงนี้เลยนะว่าผมไม่ได้กีดกัน ผมต้องการให้แม่เป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของลูกอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องยอมรับด้วยว่าเราล้มเหลวในฐานะของคนเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะเราไม่สามารถกำหนดวิธีเลี้ยงดูบุตรให้มีเสถียรภาพได้มาตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้มันถึงเวลาแล้วครับที่เราจะต้องมา Restart กันใหม่ และคุยกันให้ชัดเจนว่าเราจะใช้วิธีใดในการเลี้ยงลูก"

เรื่อง 5 วันที่แบ่งลูกเป็นการตกลงของเราทั้งคู่ใช่ไหม ?

"ผมไม่เห็นด้วยครับแต่ว่าเขามีสิทธิ์ คือก่อนวันที่จะมีคำพิพากษาของศาลในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ เรามีสิทธิ์กันคนละ 50-50 แต่หลังจากวันที่ 11 กุมภาพันธ์ก็เป็นไปตามที่แจ้งครับ ซึ่งจริงๆ ผมก็พยายามอะลุ่มอล่วยนะครับ เพราะถึงผมจะมีสิทธิ์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมควรที่จะอ้างสิทธิ์พร่ำเพรื่อ อะไรที่มันพอจะอะลุ่มอล่วยได้ผมก็ยินดีที่จะพยายาม แต่การอะลุ่มอล่วยของเรามันก็ต้องมีขอบเขต ซึ่งพอมันนานมากเกินไปแล้วที่เราคุยกันไม่รู้เรื่องและทำให้ลูกต้องทุกข์ทรมาน ผมก็อยากจะให้มันจบ"

สรุปก็คือหลังจากนี้ลูกสาวจะต้องอยู่กับเราตลอดเวลา ?

"ยึดความรู้สึกของลูกเป็นหลักครับ หากเขาอยากจะอยู่ที่ไหนก็ให้เขาได้อยู่ที่นั่น"

"ความขัดแย้งที่ 2 นอกจากเรื่อง 5 วันที่ต้องแบ่งกันเลี้ยงลูกแล้ว ก็คือตอนนี้พิพิมมี 2 โรงเรียน ซึ่งผมต้องเล่าย้อนไปก่อนว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผมก็มีความตั้งใจแล้วว่าจะหาโรงเรียนที่ลูกชอบให้ได้ โดยที่โรงเรียนนั้นจะต้องเป็นโรงเรียนใกล้บ้าน จนกระทั่งผมสามารถหาโรงเรียนที่ลูกชอบได้ในที่สุดและก็ได้แจ้งไปทางคนของคุณต่าย จากนั้นจึงทำการสมัครเรียนให้กับลูกสาวที่โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน รวมถึงมีการโอนเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปหมดเรียบแล้ว และลูกกำลังจะเริ่มเรียนในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้"

"แต่อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ ต้องรอฟังจากคุณต่ายอีกทีหนึ่ง คือน่าจะประมาณเดือนกุมภาพันธ์มั้งครับที่คุณต่ายเขาได้ไปสมัครเรียนให้กับลูกอีกโรงเรียนหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้บ้านเขา แล้วทีนี้ใครจะรับผิดชอบถึงความสับสนที่จะเกิดกับลูกที่เขาจะต้องมีโรงเรียนถึงสองโรงเรียน ดังนั้นผมถึงได้บอกว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราควรจะต้องมาพูดคุยกันให้มันรู้เรื่อง"

"กลับมาที่เหตุการณ์ที่เซ็นทรัลเวิลด์ในวันนั้น คือมันเป็นวันที่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะต้องคุยกับเขาให้ได้และหาข้อสรุปให้ได้ว่าเราจะจัดการกันอย่างไร แต่ก่อนที่เราจะคุยกันผมก็ได้คิดแล้วว่าจะให้พิพิมเขาออกมาจากความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นก่อน โดยให้เหลือแค่พ่อกับแม่มานั่งถกกันถึงปัญหา 2 ข้อนี้ให้จบให้ได้ ทั้งเรื่องการย้ายลูกไปๆ มาๆ และเรื่องโรงเรียนของลูก ซึ่งก่อนหน้านั้นผมก็ได้บอกกับเขาไปแล้วว่าแบตโทรศัพท์ผมกำลังจะหมด หากมีเรื่องอะไรก็ให้โทรหาทนายผมก่อนได้เลย แต่ว่าผมก็ไม่ได้ชี้แจงกับทนายของผม และตอนนั้นคุณต่ายเขาก็ได้โทรหาคนขับรถผมจริงๆ ซึ่งคนขับรถเขาก็ได้บอกว่าส่งถึงเซ็นทรัลเวิลด์ตั้งแต่ 6 โมงแล้ว แต่ปรากฏว่าทนายผมก็ได้ติดธุระอีกที่หนึ่งขึ้นมา ซึ่งพอผมชาร์จแบตโทรศัพท์เสร็จถึงได้ทราบว่ามันเป็นเรื่องเป็นราวกันไปแล้ว ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาจริงๆ และพอมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาอย่างที่เห็น มันก็เลยเริ่มคุยกันไม่ได้แล้วในตอนนี้ แต่สิ่งที่ผมต้องการจะทำก็คือปกป้องพิพิมและยกเขาออกจากความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งผมก็ได้ชี้แจงกับเขาไปแล้วด้วยว่า วันนั้นแบตผมกำลังจะหมด ไม่ใช่การปิดเครื่องหนี บอกเอาไว้ก่อนหมดแล้วว่าแบตจะหมดและลูกยังอยู่ ขอให้มั่นใจได้ว่าลูกปลอดภัยแน่นอน"

เหมือนตอนนี้ทั้งสองฝ่ายเอาลูกเป็นเครื่องต่อรอง ?

"ก็คงเป็นเพราะเรารักลูกด้วยกันทั้งคู่และยังพูดคุยกันไม่ได้มากกว่าครับ ซึ่งสิ่งที่ผมได้เสนอกับเขาไปก็คืออยากให้เรามานั่งคุยกันสองคน โดยที่ไม่ต้องมีกองเชียร์ของทั้งสองฝ่าย มันถึงเวลาแล้วครับที่เราจะต้องมานั่งคุยกันโดยยึดความมั่นคงของลูกเป็นหลัก"

ต้องมีการกำหนดวันนัดคุยไหมเพราะเหลืออีกไม่กี่วันก็จะเข้าเดือนเมษายนแล้ว โรงเรียนลูกกำลังจะเปิด ?

"ใช่ครับ มันก็ควรจะต้องมาคุยกัน คุยกันแบบมีสติและไม่มีอคติ มาลองคุยกันอีกทีหนึ่งครับเพราะยังไงเราก็ต้องพูดคุยกันอยู่ดี"

สาเหตุของเราที่ขอหย่านอกจากเรื่องลูก มีเรื่องพฤติกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไหม เพราะก่อนหน้านี้มันเคยมีข่าวลือออกมา ?

"ไม่ขอลงรายละเอียดและก็ไม่พาดพิงบุคคลที่ 3 ครับ ไม่เหมาะ"

ทิม พิธา แถลงข่าวปมครอบครัว

ถึงแม้ศาลจะมีคำตัดสินให้หย่าแต่เราสองคนก็ยังไม่ได้มีการเซ็นเอกสาร สรุปแล้วสถานะตอนนี้คืออะไร ?

"ถ้าตามเอกสารก็คืออย่างที่เขียนครับสิทธิ์ในการดูแลเป็นของผม แต่ทางคุณต่ายเขาอาจจะแปลเอกสารไปอีกแบบหนึ่งก็ได้ คือเราต้องแยกนะครับว่าสิทธิ์ปกครองลูกกับทะเบียนสมรสมันคือคนละเรื่องกัน"

ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้กีดกันใช่ไหมหากต่ายเขาจะมาหาลูกที่บ้าน ?

"ถ้าผมจะกีดกันผมก็กีดกันตั้งนานแล้วครับ นี่มันผ่านมาตั้งกี่เดือนแล้ว ส่วนหลังจากนี้จะวางแผนเรื่องการเลี้ยงลูกอย่างไร ผมก็คงต้องวางแผนร่วมกันกับเขาครับ"

แสดงว่าเราก็ยังอยากให้ต่ายอยู่ในทุกช่วงชีวิตของลูกในฐานะคุณแม่ ?

"แน่นอนอยู่แล้วครับ ถ้าหากคุณเป็นพ่อที่รักลูกจริง คุณก็ต้องตอบแบบที่ผมตอบ และก็ต้องทำอย่างที่ผมทำ"

ถามตรงๆ เรายังรักเขาอยู่ไหม ?

"เอ่อ...มันคงเป็นความหวังดีที่มีต่อกันครับ ส่วนบทบาทในฐานะสามีภรรยามันก็คงต้องยุติลงอย่างที่มันเป็น ความรักมันมีได้หลากหลายรูปแบบครับ มันไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในเชิงโรแมนติกเท่านั้น ผมยังมีความยินดีที่เราจะได้เป็นเพื่อนเป็นฝูงกัน เป็นคนที่รู้จักและช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะกลับมาเป็นสามีภรรยากันอีก"

กระแสข่าวที่เกิดขึ้นนี้กระทบกับงานใหม่ของเราบ้างหรือเปล่า ?

"ผมก็อยากจะขอความกรุณาให้แยกแยะนิดหนึ่ง เพราะผมมาที่นี่ก็มาแค่ในฐานะคุณพ่อ ไม่ได้มาในฐานะอื่น ผมมีความเชื่อว่าผมยังสามารถที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ และก็ยังสามารถทำหน้าที่ทั้งสองหน้าที่นี้ได้เต็มประสิทธิภาพ ขอความกรุณาอย่าโยงเลยครับ"

ทุกวันนี้ต่ายยังสามารถเข้าออกบ้านได้ตามปกติใช่ไหม ?

"ใช่ครับเพราะบ้านคือสินสมรสของเขา"

สุดท้ายแล้วถ้าหากเรื่องมันไม่จบและเราตกลงกันไม่ได้จะทำยังไงต่อไป ?

"ก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการศาลครับ แต่ก็อย่างที่ผมบอกเราสองคนเคยเป็นสามีภรรยากัน ถ้าหากมันไม่ถึงที่สุดจริงๆ เราก็คงไม่อยากจะพึ่งพาศาลหรอกครับ มันต้องหาวิธีพูดคุยกันก่อน"

มีอะไรไหมที่เราอยากจะฝากบอกไปถึงต่ายให้เขาได้รับรู้ ?

"ก็คงไม่ต่างจากที่ส่งข้อความไปหาเขานะครับ คือเราสองคนมานั่งคุยกันเถอะ นึกถึงตอนที่เริ่มรักกันใหม่ๆ ก็ได้ ลองพยายามพูดคุยกันอีกสักรอบ มันไม่ใช่เรื่องของใครคนอื่นอีกแล้ว เราลองมาคุยกันดูเพื่อหาเสถียรภาพให้กับลูก ก็อยากจะพูดกับเขาครับ ผมคิดว่าเราจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ดีกว่านี้"

 

>> "ต่าย ชุติมา" ไม่พร้อมพูดดราม่าชีวิตรัก "ทิม พิธา" ทุกอย่างคือสัจธรรม ทั้งสุขและทุกข์

>> สนุกกันสองพ่อลูก "ทิม พิธา" พาลูกสาว "น้องพิพิม" บินเล่นหิมะที่ญี่ปุ่น

>> "ทิม พิธา" กับแคปชั่นชวนสงสัย "ต่าย ชุติมา" ยังโผล่เข้ามาคอมเมนต์

>> "ต่าย ชุติมา" ติดแฮชแท็กที่ทำให้แฟนๆ เชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี

>> จำได้ไหม "ต่าย ชุติมา" ปัจุบันลูกสาว 2 ขวบ น่ารักน่าหลงมาก

>> เปรียบเทียบ "ต่าย-ชุติมา" ในชุดนักเรียน Seasons Change กับปัจจุบันเปลี่ยนไปแค่ไหน?

อัลบั้มภาพ 27 ภาพ

อัลบั้มภาพ 27 ภาพ ของ "ทิม พิธา" เปิดใจมีการฟ้องหย่า "ต่าย ชุติมา" เผยตนได้สิทธิ์เลี้ยงดูบุตรแต่เพียงผู้เดียว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook