คุณตาชาวสวนวัย 91 แทบล้มทั้งยืน เงินในบัญชี 5 ล้านล่องหน ธนาคารไม่ตอบใครถอนไป

คุณตาชาวสวนวัย 91 แทบล้มทั้งยืน เงินในบัญชี 5 ล้านล่องหน ธนาคารไม่ตอบใครถอนไป

คุณตาชาวสวนวัย 91 แทบล้มทั้งยืน เงินในบัญชี 5 ล้านล่องหน ธนาคารไม่ตอบใครถอนไป
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คุณตาชาวสวนวัย 91 ปี เคยบริจาคเงินสร้างศาลาการเปรียญ 4 ล้านบาท ไปขอเบิกถอนอีก 2 ล้านจากธนาคารหวังจะนำไปสร้างมณฑปให้วัด แทบเป็นลมทั้งยืนเงินในบัญชีกว่า 5 ล้านถูกถอนไปเกือบหมดเหลืออยู่แค่ 3 แสน 

เรื่องดังกล่าวได้รับการเปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 13.00 น. (9 มีนาคม 62) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่พบกับ นายถน พรหมจันทร์ อายุ 91 ปี  หลังได้ร้องเรียนว่าเงินในบัญชีธนาคารหายไปกว่า 5 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ธนาคารบ่ายเบี่ยงไม่ให้คำตอบที่ไม่ชัดเจน และได้ร้องเรียนหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องแต่เรื่องก็เงียบหาย

นายถน วัย 91 ปี กล่าวเท้าความว่าตนมีลูก 7 คน เป็นชาย 5 คน ผู้หญิง 2 ส่วนภรรยาเสียชีวิตหลายปีแล้ว ตนมีที่ดินอยู่ในพื้นที่ตำบลรับร่อ และตำบลท่าข้าม อ.ท่าแซะ จำนวน 230 ไร่ ส่วนลูกๆ เมื่อเติบโตมีครอบครัวตนได้แบ่งที่ดินให้ไปทำกินเท่าเทียมกันทุกคน ปัจจุบันตนมีที่ดินเหลืออยู่ 70 ไร่ ได้ปลูกสวนยางพาราทั้งหมดเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มานาน 20 ปีแล้ว โดยนำเงินที่ขายยางพาราไปฝากไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) สาขาท่าข้าม อ.ท่าแซะ เพื่อเป็นเงินออมเก็บไว้ใช้ส่วนตัวและทำบุญยามแก่เฒ่าเพราะไม่อยากรบกวนใคร ปัจจุบันมีลูกหลานแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนดูแลที่บ้านอยู่ตลอดเวลา

นายถน กล่าวว่าต่อมาในช่วงปลายปี 2559 – 25560 ตนได้ไปถอนเงินจากบัญชีธนาคารสาขาท่าข้าม เป็นเงินที่ได้จากการลงทุนซื้อสลากธกส. สัญญา 3 ปี จำนวน 4 ล้านบาท โดยเบิกถอนครั้งละ 1 ล้านบาท รวม 4 ครั้ง จำนวน 4 ล้านบาท ไปมอบให้กับผู้รับเหมาที่ก่อสร้างศาลาการเปรียญรองรับชาวบ้านได้กว่า 200 คน ซึ่งตนสร้างมอบให้กับวัดวังตะเคียน ตำบลท่าข้าม หลักถอนเงินหมดตนก็ปิดสมุดบัญชีเงินฝากเล่มดังกล่าวไปด้วย

นายถนกล่าวว่าต่อมาตนได้เปิดบัญชีเล่มใหม่กับธนาคารเดิม ใช้ชื่อตนร่วมกับชื่อลูกชายอีกคนไว้เผื่อยามฉุกเฉิน โดยมีเงินจากการขายยางพาราฝากสะสมเรื่อยมาจนมีมากกว่า 2,800,000 บาท และเงินที่ซื้อสลากธกส.ครบตามสัญญา 3 ปี โอนเข้าบัญชีอีกจำนวน 1,679,890 บาท พร้อมดอกเบี้ยและเงินฝากอื่นๆ อีกรวมมากกว่า 5 ล้านบาท โดยสมุดเงินฝากตนเป็นผู้เก็บไว้อย่างดีที่บ้าน

กระทั่งเมื่อกลางปี 2561 ตนจะไปถอนเงินจำนวน 2 ล้านบาท เพื่อนำไปทำบุญสร้างมณฑปให้แก่วัดแหลมยาง ตำบลท่าแซะ อ.ท่าแซะ เมื่อเจ้าหน้าที่ธนาคารเอาสมุดบัญชีเงินฝากไปตรวจสอบแล้วบอกว่ามีการเบิกถอนเงินไปเกือบหมดแล้วเหลืออยู่เพียง 3 แสนบาทเท่านั้น ตนถึงกับตกใจและบอกว่าที่ผ่านมามีแต่เอาเงินมาฝากไม่เคยมาถอนเลยแม้แต่สักครั้งเดียว แต่เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่ามีการเบิกถอนไปแล้วจริงๆ ครั้งแรกถอนไปกว่า 3 ล้านบาท ครั้งที่ 2 อีก 1 ล้านบาท รวมเงินของตนหายประมาณ 5 ล้านบาท และก็ไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนว่าใครมาเบิกถอนและเบิกถอนไปได้อย่างไร

นายถนกล่าวต่อว่าหลังจากนั้นตนได้ไปแจ้งความที่ สภ.ท่าแซะ แต่ตำรวจบอกว่าให้ตนไปเอาหลักฐานและสลิปเบิกถอนจากธนาคารมา เมื่อตนไปขอที่ธนาคารเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าให้ไม่ได้เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นความลับของธนาคารไม่สามารถให้ใครไปได้ ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะไม่เข้าใจเรียนหนังสือจบแค่ ป.4 สมัยก่อนโทรศัพท์ก็ไม่มีใช้ไม่เป็น เจ้าหน้าที่บอกอย่างไรตนก็เชื่อหมด ต่อมาตนได้ไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชุมพร และร้องเรียนทหารที่มณฑลทหารบกที่ 44 ชุมพร เรื่องก็เงินหายไม่เห็นมีใครมาสอบถามอะไรตนเลย มีแต่นายทหารมาบอกกับตนว่าลุงมีเงินอยู่เพียง 4 ล้านบาทเท่านั้นแต่ได้เบิกไปหมดแล้ว ซึ่งตนก็บอกไปว่าเงิน 4 ล้าน ที่เบิกไปสร้างศาลาการเปรียญนั้นเป็นเงินจากสมุดเงินฝากคนละบัญชีกันกับเงินที่หายไป แต่ก็ไม่เห็นได้ดำเนินการใดๆ อีกเลย

นายถน กล่าวว่าเมื่อเรื่องร้องเรียนผ่านไปนานหลายเดือนไม่มีอะไรคืบหน้าจนกระทั่งเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 62 ที่ผ่านมาตนได้เดินทางไปที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชุมพร เพื่อสอบถามความคืบหน้าเรื่องร้องเรียนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบ หลังจากตนกลับมาบ้านก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าแซะ 4 นาย มาสอบปากคำตนแล้วก็กลับไป

เงินที่มีการเบิกถอนไปจากธนาคารตนได้ถามลูกหลานแล้วและทุกคนบอกว่าไม่มีใครรู้เรื่อง เมื่อสอบถามจากทางธนาคารเจ้าหน้าที่ก็โยนไปมาไม่มีคำตอนที่ชัดเจนว่าใครเป็นคนไปเบิกเงินตน เบิกถอนไปได้อย่างไร ซึงตนจะเอาเรื่องและดำเนินคดีความให้ถึงที่สุดไม่ว่าใครหรือแม้แต่ลูกหลานก็ตาม ตนยืนยันว่าไม่เคยไปเบิกถอนเงินดังกล่าวเลยแม้แต่ครั้งเดียวแต่เหตุใดเงินจึงหายไปและธนาคารก็ไม่มีความรับผิดชอบ เพราะเป็นเงินที่ตนเก็บอดออมไว้ใช้ส่วนตัวและทำบุญเป็นที่พึ่งทางใจยามแก่เฒ่า จึงต้องร้องเรียนสื่ออยากให้ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบให้ตนด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อสอบถามไปยังผู้บริหารของธนาคารและหน่วยงานเกี่ยวข้องได้ เนื่องจากเป็นวันเสาร์และอาทิตย์หยุดราชการ ซึ่งความคืบหน้าข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวจะติดตามมารายงานให้ทราบต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook