สัปเหร่อระนองยันเผาศพไร้ชื่อลูกปิยะ

สัปเหร่อระนองยันเผาศพไร้ชื่อลูกปิยะ

สัปเหร่อระนองยันเผาศพไร้ชื่อลูกปิยะ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สัปเหร่อระนองนำหลักฐานสมุดบันทึกการเผาไร้ชื่อ กันต์กนิษฐ์ ลูกสาวปิยะ อังกินันทน์ ขึ้นเมรุเผาที่วัดในจ.ระนอง แฉคนมีสีเอี่ยวจัดฉากตาย เผยผู้ใหญ่โทรสั่งตำรวจระนองออกใบมรณบัตร ส่วนผัวพกบัตร กอ.รมน.ของจริง กองปราบฯ ส่งทีมสืบล่าตัว เล็งสอบเส้นทางเงินหวังจับยกแก๊ง

จากกรณีนางกันต์กนิษฐ์ อังกินันทน์ หรือ ปานจิต ชิ้นศิริ อายุ 48 ปี ลูกสาวนายปิยะ อังกินันทน์ หรือ แป๋ง อดีต ส.ส.เพชรบุรี พรรคไทยรักไทย ถูกตำรวจกองปราบปรามจับกุมตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรสาคร ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่ง หลังสืบทราบว่านางกันต์กนิษฐ์ร่วมกับพวกจัดฉากว่าตัวเองเสียชีวิตจากเหตุพิบัติภัยสึนามิ เพื่อหลบหนีหมายจับคดีร่วมกันฉ้อโกงเงินกว่า 8,000ล้านบาท

ล่าสุดเมื่อช่วงสายวันที่ 27 มีนาคม ตำรวจกองปราบปรามนำผู้ต้องหาทั้งสองส่งมอบให้แก่พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อให้ดำเนินคดี โดยมีบรรดาญาติของผู้ต้องหาเดินทางมาขอเยี่ยมและพยายามจะยื่นประกันตัวทั้งสอง แต่พนักงานสอบสวนไม่ให้ประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนี ระหว่างที่อยู่บนโรงพักบรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียด โดยมีกำลังตำรวจพร้อมอาวุธครบมือคอยควบคุมตัวอย่างแน่นหนา

ด้าน พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป. กล่าวว่า ขณะนี้มอบหมายให้ พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.5 บก.ป. และ พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผกก.ช่วยราชการ บก.ป. สืบสวนขยายผลในประเด็นเรื่องเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับการไปขอมีบัตรประชาชน หรือทำเรื่องที่หน่วยงานราชการว่าเข้าข่ายความผิดฐานการให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานหรือไม่ รวมทั้งขยายผลไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วยว่ามีส่วนร่วมในการกระทำผิดหรือให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาหรือไม่

ผบก.ป.กล่าวต่อว่า ในส่วนของผู้ที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนครั้งนี้ เชื่อว่าน่าจะมีความรู้เรื่องการรวบรวมหลักฐานพอสมควร แต่ไม่เหนือไปกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหลักวิชาการสืบสวน ซึ่งหลักการสำคัญที่นำมาใช้ในคดีนี้คือ ยิ่งทำลายหลักฐานก็เท่ากับยิ่งสร้างหลักฐานใหม่ และในการสืบสวนคดีนี้ใช้ตั้งแต่หลักพฤติกรรมศาสตร์ เช่น ชีวิตความเป็นอยู่ผู้ต้องสงสัย เส้นทางการเงิน เอกสารต่างๆ และที่สำคัญตัวเจ้าหน้าที่รัฐเองหากพบว่ามีส่วนร่วมกระทำผิดก็ไม่สามารถรอดพ้นการดำเนินคดีไปได้ และจากนี้ไปผู้บังคับบัญชาของแต่ละหน่วยงาน ไม่ว่าจะออกบัตรหรือเอกสารต่างๆ ให้แก่ผู้ต้องหา หรือมีเจ้าหน้าที่รายใดให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาก็ต้องถูกตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้

พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า จะประสานตำรวจท้องที่นั้นๆ ตรวจสอบว่าคดีที่ผู้ต้องหาทั้งสองถูกออกหมายจับนั้นหมดอายุความแล้วหรือไม่ หากยังไม่หมดอายุความก็ให้ทำเรื่องอายัดตัวไปดำเนินคดีต่อ ทั้งนี้กองปราบปรามจะสืบสวนขยายผลในเรื่องการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน กรณีจัดฉากการเสียชีวิตให้แก่นางกันต์กนิษฐ์ โดยจะประสานพยานหลักฐานกับตำรวจ สภ.ปากน้ำระนอง จ.ระนอง ท้องที่เกิดเหตุ โดยให้ตำรวจท้องที่เป็นผู้ดำเนินการต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับเรื่องการสวมบัตรประชาชนผู้อื่นนั้นก็จะทำหนังสือถึงต้นสังกัดเจ้าของบัตรประชาชนแต่ละใบเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ หากพบว่ามีผู้กระทำผิดก็จะให้ต้นสังกัดนั้นๆ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจท้องที่นั้นๆ

"เรายังจะสืบสวนเชิงลึกเรื่องเส้นทางการเงิน การถ่ายโอนทรัพย์สินของผู้ต้องหาทั้งสองด้วย ถึงตอนนี้มีคนเข้ามาให้ข้อมูลเบาะแสอยู่เรื่อยๆ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ รวมทั้งคนที่ให้การช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการช่วยเหลือไม่ให้ถูกจับกุม การถ่ายโอนทรัพย์สิน หรือหาที่อยู่อาศัยให้ก็จะถูกตรวจสอบด้วย เบื้องต้นมีคนให้เบาะแสว่า มีคนมีสีทั้งสองสีเกี่ยวข้องด้วย เป็นการทำเป็นกระบวนการเริ่มตั้งแต่วางแผนแจ้งการตาย มีการเขียนสคริปต์วางแผนอย่างแนบเนียน จากนั้นก็ไปทำศัลยกรรมที่ประเทศจีน เราได้ตรวจสอบไปที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แต่ไม่พบว่าผู้ต้องหาเดินทางออกนอกประเทศ" ผบก.5 บก.ป. กล่าว

ผกก.5 บก.ป. กล่าวด้วยว่า นอกจากคดีตามหมายจับที่มีผู้เสียหายเข้าให้ข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่ทราบข่าวได้ประสานข้อมูลเพิ่มเติมเช่นกัน ล่าสุดมีผู้เสียหายจากหลายธนาคารเข้าแจ้งความไว้ที่ สน.บางซื่อ ให้ดำเนินคดีต่อนายชาญชัย แต่คดีดังกล่าวนายชาญชัย ใช้ชื่อ นายพงศวิทย์ ศรีวิทยพงศ์ ทำธุรกรรม ซึ่งพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ได้ขออนุมัติหมายจับเพื่อจะอายัดตัวต่อไป ส่วนเรื่องเงินสินไหมทดแทนที่บริษัทประกันชีวิตทั้งสองแห่งจ่ายไปแล้วนั้น บริษัทจะนำหลักฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอาเอง

รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้ต้องหาทั้งสองเปิดบริษัทขอซื้อน้ำมันจากบริษัทน้ำมันรายใหญ่หลายแห่ง โดยการใช้เครดิตครั้งละหลายสิบล้านบาท หลังจากนั้นจะขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาดให้ปั๊มน้ำมันหรือบริษัทน้ำมันรายย่อยโดยให้จ่ายด้วยเงินสด เมื่อได้เงินมาแล้วก็ไม่ยอมจ่ายให้บริษัทน้ำมันที่ซื้อมา และเมื่อบริษัทน้ำมันส่งคนมาทวงหนี้ก็จะให้คนข่มขู่ บางครั้งก็ทำร้ายร่างกาย

ส่วนการสืบสวนขยายผลกรณีสวมศพสึนามินั้นมีรายงานว่า เมื่อหลายปีก่อนตำรวจกองปราบปรามเคยทำหนังสือสอบถามข้อเท็จจริงดังกล่าวไปยัง สภ.ปากน้ำระนอง จ.ระนอง พบว่าตำรวจและทางวัดไม่มีใครยืนยันว่าได้เห็นศพ และจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าในพื้นที่ จ.ระนองนั้นมีการแจ้งพบศพที่สมอ้างเป็นนางกันต์กนิษฐ์ ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุสึนามิเพียงศพเดียวเท่านั้น ส่วนพยานที่เป็นผู้หญิง 2 คนซึ่งอ้างเป็นผู้พบศพนั้น เบื้องต้นทราบว่าเป็นเจ้าของเรือเช่าให้นักท่องเที่ยวใช้ไปตกปลา และอ้างว่านางกันต์กนิษฐ์มาเช่าเรืออยู่หลายครั้ง แต่เป็นเพียงคำกล่าวอ้างเท่านั้น ยังไม่มีการเรียกตัวมาสอบสวนอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ มีรายงานว่าสาเหตุที่พนักงานสอบสวน สภ.ปากน้ำระนอง ออกเอกสารหลักฐานให้นั้น เนื่องจากมีผู้ใหญ่โทรศัพท์ประสานขอให้ช่วยอำนวยความสะดวกให้นายชาญชัย อย่างไรก็ตาม ประเด็นต่างๆ เหล่านี้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจะร่วมกับ สภ.ปากน้ำระนอง สอบสวนขยายผลให้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนกว่านี้อีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ตำรวจได้ตรวจสอบหลักฐานที่ยึดมาจากบ้านนายชาญชัย ย่านยานนาวา ซึ่งเป็นบัตรประชาชนของผู้ต้องหาทั้งสองในชื่อต่างๆ เอกสารการทำธุรกิจซื้อขายน้ำมันซึ่งมีชื่อบุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องอีกหลายคน บัตรเครดิตจำนวนมาก ที่สำคัญพบเอกสารข้อมูลทะเบียนราษฎรของบุคคลซึ่งพิมพ์ออกมาจากหน่วยงานตำรวจ โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นของมูลส่วนตัวของชาวบ้านที่มีทั้งชาย หญิง ผู้สูงอายุ และเด็กจาก 2 ครอบครัวที่มีภูมิลำเนาอยู่ใน อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ รวมทั้งหมด 9 คน โดยในเอกสารของบางคนมีการเขียนด้วยปากกา ระบุว่ามีการเปลี่ยนชื่อ หรือบัตรหาย เป็นต้น

รายงานข่าวแจ้งว่า ข้อมูลทะเบียนราษฎรที่พบนั้น เชื่อว่ามีตำรวจนำมาให้ผู้ต้องหาทั้งสองโดยเชื่อว่าเป็นการหาข้อมูลเตรียมไว้เพื่อที่จะใช้เปลี่ยนชื่อนามสกุลอีก เพราะที่ผ่านมาผู้ต้องหาทั้งสองมีพฤติการณ์เปลี่ยนชื่อนามสกุลมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะนายชาญชัยนั้นได้เปลี่ยนชื่อมาแล้วประมาณ 5 ครั้ง ทั้งนี้จะตรวจสอบทางลึกว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดร่วมกระทำผิดหรือไม่ เนื่องจากบัตรประชาชนที่ยึดมาได้นั้นเป็นบัตรจริงทั้งหมด โดยบัตรประชาชนใบหนึ่งของนายชาญชัย ชิ้นศิริ ใช้ชื่อ นายสมพร มาลา เกิดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2513 อยู่บ้านเลขที่ 48 หมู่ 2 ต.นาสว่าง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ออกเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2548 หมดอายุวันที่ 19 สิงหาคม 2554 ซึ่งบัตรระบุชื่อ นายสุริยะ วิริยะสวัสดิ์ เป็นเจ้าพนักงานออกบัตร นอกจากนี้ตำรวจได้ตรวจสอบบัตรประจำตัวของนายชาญชัย ที่ กอ.รมน.ออกให้ในชื่อ จนท.พงศวิทย์ ศรีวิทยพงศ์ พบว่าเป็นบัตรที่ กอ.รมน.ออกให้จริง แต่ตำรวจจะประสานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการออกบัตรมาสอบสวนด้วยเช่นกัน

ตร.ระนองเต้นสั่งคุ้ยข้อมูล

ในส่วนของการสวมศพสึนามินั้น พ.ต.อ.วีระศิลป์ ขวัญเซ่ง ผกก.สภ.ปากน้ำ จ.ระนอง กล่าวว่า กำลังเร่งรวบรวมข้อมูลผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ เพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับในข้อหาแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน ที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย และแจ้งให้เจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการ พร้อมกับทำเรื่องขออายัดตัว เพื่อนำมาดำเนินคดีที่ สภ.ปากน้ำ จ.ระนอง ตามข้อหาดังกล่าว

พ.ต.อ.วีระศิลป์ กล่าวว่า กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งความเท็จต่อไป เบื้องต้นเชื่อว่าต้องดำเนินการเป็นขบวนการอย่างแน่นอน มีการวางแผนการทำงานที่ซับซ้อน อาศัยช่องว่างของเหตุการณ์และกฎหมายในการกระทำผิด ส่วนจะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงชาวบ้านในเขตพื้นที่ จ.ระนอง กี่คนเข้าไปเกี่ยวข้องที่จะถูกออกหมายจับนั้นคงต้องใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ อีกระยะ

พ.ต.อ.วีระศิลป์ พร้อมระบุว่า หลังเกิดสึนามิได้ 5 วัน นายชาญชัยเดินทางมาที่ สภ.ปากน้ำ เพื่อแจ้งลงบันทึกประจำวัน จากตรวจสอบพบว่าเป็นเอกสารหมายเลข 075 ลำดับการบันทึกรายงานประจำวันรับแจ้งที่ 23 โดยนายชาญชัยแจ้งว่า เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2547 เวลาประมาณ 13.00 น.นางกันต์กนิษฐ์ อยู่บ้านเดียวกับผู้แจ้ง ซึ่งเป็นภรรยาได้บอกกับผู้แจ้งว่าได้มาที่ จ.ระนอง และเดินทางไปที่เกาะพยาม อ.เมือง จ.ระนอง จากนั้นขาดการติดต่อกับผู้แจ้ง ซึ่งผู้แจ้งพยายามติดต่อและค้นหามายังพื้นที่ จ.ระนองแต่ไม่พบ ผู้แจ้งคือนายชาญชัย เกรงว่าภรรยาจะได้รับอันตราย จึงมาแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อให้ช่วยสืบสวนค้นหาอีกทางหนึ่ง

จากนั้นเวลา 19.00 น. วันที่ 31 ธันวาคม 2547 นายชาญชัยมายัง สภ.ปากน้ำอีกครั้ง พร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่ขอลงบันทึกประจำวันในแบบลงบันทึกประจำวันที่ 076 ลำดับที่ 24 ว่า จากการที่ได้เข้ามาแจ้งความไว้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับกรณีนางกันต์กนิษฐ์ บัดนี้ได้พบศพนางกันต์กนิษฐ์แล้ว ก่อนเกิดเหตุได้มาเที่ยวที่เกาะพยาม อ.เมือง จ.ระนอง และประสบเหตุจากภัยพิบัติทางธรรมชาติเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 จนกระทั่งพลเมืองดีพบศพลอยอยู่ในทะเล เมื่อตรวจสอบหลักฐานพบบัตรประจำตัวประชาชนที่พกติดตัว ปรากฏว่าเป็นชื่อของนางกันต์กนิษฐ์จริง ขณะนั้นมี ร.ต.ท.สรายุทธ มีบุญ ร้อยเวรเป็นผู้รับแจ้งและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

ยันผัวติดต่อขอใบรับรอง

อีกด้านหนึ่ง ทีมข่าวเดินทางไปที่วัดสุวรรณคีรีวิหาร ซึ่งเป็นอีกสถานที่ที่นายชาญชัยอ้างว่านำศพนางกันต์กนิษฐ์มาบำเพ็ญกุศลและฌาปนกิจที่วัดเมื่อเดือนมกราคม 2548 นั้น

พระครูระณังค์คณารักษ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองระนอง และเจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรีวิหาร พระอารามหลวง กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่านายชาญชัยนำศพนางกันต์กนิษฐ์มาบำเพ็ญกุศลหรือไม่ แต่ที่จำได้ประมาณต้นเดือนมกราคม 2548 มีชาย 3-4 คนเดินทางมาหาตน พร้อมแจ้งขอให้วัดออกใบรับรองการเผาให้แก่นางกันต์กนิษฐ์ โดยกลุ่มชายดังกล่าวอ้างว่าก่อนหน้านี้ได้นำศพตั้งบำเพ็ญกุศลในวัดประมาณ 3-4 คืน ก่อนฌาปนกิจ ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีการตั้งศพบำเพ็ญกุศลหรือไม่ แต่การที่กลุ่มชายดังกล่าวมาขอใบรับรองการเผา ถือว่าเป็นการกระทำผิดขั้นตอน เนื่องจากก่อนที่วัดจะออกใบรับรองการเผาได้จะต้องมีใบรับรองการตายจากทาง อ.เมืองระนองมายื่นแสดงก่อน เมื่อสอบถามกลับไปกลับไม่มี แต่มีชายผู้หนึ่งซึ่งน่าจะนำเอกสารปลอมเป็นลักษณะหนังสือทางราชการ ลงชื่อนายอำเภอเมืองสมัยนั้น เป็นการร้องขอให้ดำเนินการให้ไปก่อน เนื่องจากทางอำเภออยู่ระหว่างการปรับปรุงฐานข้อมูล เห็นว่าเป็นหนังสือราชการและไม่ได้เฉลียวใจว่าจะเป็นเหตุการณ์ลวงโลกเช่นนี้ จึงได้ออกใบรับรองการเผาให้แก่กลุ่มชายดังกล่าว

นายจรูญ เทพณรงค์ เจ้าหน้าที่ฌาปณกิจ วัดสุวรรณคีรีวิหาร พระอารามหลวง จ.ระนอง กล่าวว่า กรณีนางกันต์กนิษฐ์ ยืนยันว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาใช้บริการเมรุของวัดอย่างแน่นอน เพราะจากการตรวจสอบไม่ปรากฏชื่อนางกันต์กนิษฐ์ตามที่นายชาญชัยกล่าวอ้าง จึงสันนิษฐานได้ว่าไม่มีการนำศพผู้ใดทั้งสิ้นมากระทำบำเพ็ญกุศลหรือเผา มีเพียงการสร้างหลักฐานเท็จเพื่อไปกระทำการบางอย่างเท่านั้น

นายธีรยุทธ คงคล้าย ปลัดอำเภอเมืองระนอง ฝ่ายทะเบียนและบัตร กล่าวว่า เบื้องต้นพบว่าอำเภอเมืองระนองออกใบมรณบัตรให้ ล่าสุดนายพิชัย ปรีชาพรประเสริฐ นายอำเภอเมืองระนอง สั่งให้ค้นหาต้นขั้ว ก่อนที่จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อดำเนินการใน 2 ประเด็น ประการแรกคือ การแจ้งข้อหาต่อนายชาญชัยและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งความอันเป็นจริง ประการที่สองคือ การสั่งเพิกถอนใบมรณบัตร

จากการตรวจสอบรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิในเขตพื้นที่ จ.ระนอง เมื่อ 26 ธันวาคม 2547 จากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระนอง (ปภ.) ที่สรุปรวบรวมรายงานเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2548 เวลา 16.30 น. พบว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมดจำนวน 164 ราย แต่ไม่ปรากฏชื่อนางกันต์กนิษฐ์ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ อ.เมือง จ.ระนอง ที่นายชาญชัยอ้างว่าพบศพ ก็ไม่มีรายงานพบศพผู้เสียชีวิตแต่ประการใด

"ยุทธ"ปัดอังกินันทน์เอี่ยว

วันเดียวกัน นายยุทธ อังกินันทน์ นายกเทศมนตรีเมืองเพชรบุรี อดีต ส.ส.เพชรบุรีหลายสมัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ น้องชายของนายปิยะ อังกินันทน์ กล่าวว่า การที่นางกันต์กนิษฐ์ หรือ ปานจิต อังกินันทน์ หรือ ชิ้นศิริ อายุ 43 ปี บุตรสาวนายปิยะ อังกินันทน์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานหนีคดีฉ้อโกง ด้วยการแจ้งตายและปลอมแปลงใบหน้า ขอให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมที่จะดำเนินการ

"กันต์กนิษฐ์โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่งงานมีครอบครัวออกไปจากตระกูลอังกินันทน์แล้ว และไปทำธุรกิจ แต่ได้ประสบความล้มเหลวทางธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจน้ำมัน และได้จากเพชรบุรีไปทำธุรกิจอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และไม่ได้กลับมาเพชรบุรีนานแล้ว ผมเองก็ไม่ได้เจอมานานเกือบสิบปีแล้ว ช่วงปี 2547 มาทราบข่าวว่าเสียชีวิตในช่วงสึนามิ มารู้อีกทีว่ายังมีชีวิตและถูกจับกุม ส่วนตัวก็ดีใจที่หลานยังมีชีวิตอยู่ ส่วนเรื่องคดีก็ต้องว่ากันไปตามความผิดที่ก่อไว้"

นายยุทธ กล่าวว่า ความผิดที่เกิดขึ้นกับหลานสาวจนถูกดำเนินคดีในขณะนี้ เป็นเรื่องความล้มเหลวทางธุรกิจทำธุรกิจน้ำมันแล้วประสบปัญหา ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดฉ้อโกงประชาชนแบบแชร์แม่ชม้อย ก่อนที่จะหายตัวไปก็ทำธุรกิจหลายอย่างอยู่ในเพชรบุรี ทั้งปั๊มน้ำมัน ศูนย์สินค้าพื้นเมือง แต่กิจการเหล่านี้ก็ขาดทุนหมดกระทั่งถูกยึด เชื่อว่าไม่ได้มีเจตนาจะโกงใคร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวคนในตระกูลอังกินันทน์ ไม่ได้ไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็คงต้องให้ยอมรับความเป็นจริงกับสิ่งที่ก่อไว้

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook