หนุ่มป.โทคลั่งเผาบ้านวอด แม่เปิดใจ ทนมา 10 ปี จ่อขายที่ดินหนี

หนุ่มป.โทคลั่งเผาบ้านวอด แม่เปิดใจ ทนมา 10 ปี จ่อขายที่ดินหนี

หนุ่มป.โทคลั่งเผาบ้านวอด แม่เปิดใจ ทนมา 10 ปี จ่อขายที่ดินหนี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากกรณีเมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา (9 มี.ค.) นายจตุพร อายุ 48 ปี ก่อเหตุจุดไฟเผาบ้านพ่อแม่ของตนเอง พร้อมกับใช้มีดฟันที่ใบหน้าน้องชายตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนที่จะหลบหนีไป ซึ่งจากการสอบประวัติพบว่านายจตุพร มีการศึกษาสูง จบระดับปริญญาโท คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่มีอาการทางจิตมานานกว่า 10 ปีแล้ว

โดยก่อนหน้านั้น เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 60 เคยถูกจับดำเนินคดีในข้อหาใช้ปากกาเมจิกขีดเขียนบนสะพานลอยคนข้ามด่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมาแล้ว ก่อนที่จะมาก่อเหตุเผาบ้านพ่อแม่ของตนเองในครั้งนี้

ล่าสุด บ่ายวันนี้ (9 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้าน หมู่ที่ 7 ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านที่เกิดเหตุไฟไหม้ ได้พบกับ นางนันทิยา อายุ 73 ปี และ นายฉลอง อายุ 73 ปี ซึ่งเป็นแม่และพ่อของนายจตุพร ผู้ก่อเหตุเผาบ้าน โดยทั้งสองคนอยู่ในความโศกเศร้า ได้แต่นั่งมองบ้านที่อยู่มานานกว่า 30 ปี กลายเป็นซากถูกไฟไหม้เสียหายจนหมด ท่ามกลางญาติพี่ น้อง ที่เดินทางมาปลอบใจไม่ขาดสาย

ขณะที่ นายจตุรงค์ อายุ 35 ปี ลูกชายที่ถูกมีดฟันที่ใบหน้า ขณะนี้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งล่าสุดอาการยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากต้องรอให้แพทย์ตรวจบริเวณดวงตาและจมูกที่เป็นแผลฉกรรจ์ เพื่อทำการเย็บแผลศัลยกรรม

จากการสอบถาม นางนันทิยา เล่าว่า ตนเองกับสามีได้ซื้อที่ดินไว้มีบริเวณพื้นที่ประมาณ 200 ตารางวา และได้สร้างบ้านอยู่อาศัยมานานกว่า 30 ปีแล้ว โดยตนเองมีลูกอยู่ทั้งหมด 3 คน คนโตเป็นผู้หญิง ซึ่งแยกย้ายไปอยู่กับครอบครัวในพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนคนกลาง คือนายจตุพร ผู้ก่อเหตุเผาบ้าน ซึ่งไปอยู่กับย่าในตัวเมืองนครราชสีมา และคนเล็กคือนายจตุรงค์ ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านกับตนเอง

สำหรับ นายจตุพร เดิมทีนั้นเป็นคนเรียนหนังสือเก่ง โดยศึกษาจบระดับปริญญาโท คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยชื่อดัง เมื่อประมาณ 10 กว่าปีมาแล้ว หลังจากศึกษาจบแล้วก็ได้ไปทำงานอยู่ในบริษัทเอกชนหลายแห่ง ซึ่งขณะนั้นก็เริ่มมีอาการป่วยทางจิต คุยกับเพื่อนร่วมงานไม่ค่อยรู้เรื่อง บางครั้งก็เกิดอารมณ์แปรปรวนง่าย ซึ่งคาดว่าจะเครียดจากการเรียนและการทำงานหนัก จึงได้ถูกให้ออกจากงาน

หลังจากนั้นก็ไปอาศัยอยู่กับย่า โดยแต่งงานมีภรรยา และมีลูกสาว 1 คน แต่ช่วงหลังภรรยาทนต่ออาการทางจิตไม่ไหว เนื่องจากมักจะชอบทำร้ายครอบครัว จึงได้พาลูกสาวหนีไปอยู่ที่อื่น ทำให้ปัจจุบันนายจตุพรไม่มีงานทำ ต้องมาขอเงินกับตนเป็นประจำ

โดยมักจะชอบมาเขย่าลูกกรง และเรียกขอเงินในช่วงเช้ามืด ซึ่งตนก็ต้องให้ไปครั้งละ 300 – 1,000 บาท เพราะถ้าไม่ให้ก็จะอาละวาด ทุบตีข้าวของไปทั่ว สร้างความรำคาญให้กับครอบครัวและเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก โดยเป็นอย่างนี้มานานนับ 10 ปีแล้ว ทำให้ตนเองรู้สึกเป็นทุกข์กับลูกชายคนนี้มาก

กระทั่งเมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา (9 มี.ค.) นายจตุพร ก็ได้มาขอเงินเหมือนทุกครั้ง แต่ตนไม่มีเงินให้ จึงอาละวาดทุบตีข้าวของ ตนเองจึงได้โทรศัพท์แจ้งให้ตำรวจมานำตัวออกไป และเมื่อน้องชายจะมาเปิดประตูให้ ก็ได้ใช้มีดฟันหน้าน้องชายเป็นแผลฉกรรจ์ ก่อนที่จะนำเสื้อผ้ามากองแล้วจุดไฟเผาบ้าน จนเพลิงลุกไหม้บ้านวอดเสียหายทั้งหลัง

ส่วนตัวนายจตุพรนั้น ก็ใช้ช่วงชุลมุนหลบหนีไปได้ ซึ่งหลังจากไฟไหม้บ้านหมดแล้ว ตนเองและครอบครัวก็ไม่มีที่อยู่อาศัย คืนนี้จึงอาจจะไปขอพักอยู่กับญาติพี่น้องชั่วคราวก่อน ส่วนบ้านหลังนี้ก็คงจะซ่อมไม่ได้แล้ว จึงปรึกษากับสามีว่าอาจจะต้องขายที่ตรงนี้เสีย แล้วพากันย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น เพราะถ้าอยู่ที่เดิมก็จะรู้สึกหวาดระแวงกลัวว่าลูกชายจะมาทำร้ายอีก

ด้าน นางกมลรัตน์ เพื่อนบ้าน เล่าว่า เพื่อนบ้านแถวนี้จะรู้ดีว่า นายจตุพร เป็นคนสติไม่ดี ช่วงประมาณ 05.00 น. ชอบมาเคาะประตูบ้านเรียกเพื่อขอเงินแม่เป็นประจำ ถ้าวันใดไม่ได้เงินก็จะอาละวาดทุบตีข้าวของดังลั่น ซึ่งตนเองก็มีอาชีพขายของ จะออกไปตลอดทุกเช้า จึงรู้สึกหวาดระแวงเสมอ กลัวว่าจะถูกทำร้ายไปด้วย แต่ไม่เคยคิดว่าครั้งนี้จะมาเผาบ้านพ่อ แม่ ของตนเองจนเสียหายทั้งหมด

เมื่อชาวบ้านทราบข่าวแล้วก็รู้สึกสงสารผู้เป็นพ่อ แม่ ที่ต้องทนทุกข์กับสภาพบ้านที่ถูกไฟไหม้ อีกทั้งนายจตุพร ก็ยังหลบหนีอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังจับตัวมาไม่ได้ จึงทำให้ชาวบ้านรู้สึกหวาดระแวงไปด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook