นโยบายสุดอึ้ง! โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่

นโยบายสุดอึ้ง! โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่

นโยบายสุดอึ้ง! โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook


ทิศทางต่างๆ ของสหรัฐอเมริกากำลังจะเปลี่ยนอีกครั้ง หลังผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาครั้งล่าสุด ผลคะแนนส่วนใหญ่ต่างเทคะแนนให้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน มีชัยเหนือ นางฮิลลารี คลินตัน พรรคเดโมแครต อย่างไม่เป็นทางการ กลายเป็นสิ่งน่าประหลาดใจของโลกอีกครั้งหนึ่ง

นายโดนัลด์ ทรัมป์ กับการก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 สร้างความแปลกใจและหวั่นใจให้กับชาวโลกไปพร้อมๆ กัน เนื่องจากการขึ้นเป็นผู้นำของเขา แม้จะเป็นสิ่งที่ท้าทายและแปลกใหม่ แต่สังคมก็ยังมีความไม่มั่นใจในตัวเขาอยู่สูงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการบริหารและทิศทางทางการเมืองที่ต่างวิเคราะห์ว่า..ไร้ประสบการณ์

ที่ผ่านมา นายทรัมป์ มีถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองของเขาเสมอ เนื่องจากว่าเขาคือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในแผ่นดินสหรัฐอเมริกา เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในเส้นทางการเมืองมาก่อน ไม่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สมาชิกวุฒิสภา แต่ขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้แบบก้าวกระโดด

นโยบายบริหารและการเมืองแบบสุดโต่งของ โดนัลด์ ทรัมป์ มักเป็นที่สนใจทุกครั้งและมักตกเป็นข่าวอื้อฉาวบ่อยครั้ง โดยเฉพาะนโยบายละเอียดอ่อนเกี่ยวกับผู้อพยพ นายทรัมป์ เคยประกาศสร้างกำแพงกั้นพรมแดงระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก เพื่อตัดช่องทางของผู้ลักลอบเข้าเมือง

อีกทั้งยังมีแผนจะให้เม็กซิโกต้องชำระจ่ายเงินทั้งหมด เนื่องจากเชื่อว่ารัฐบาลเม็กซิโกรู้เห็นเป็นใจให้พลเมืองตัวเองแอบเข้ามาหากินในแผ่นดินสหรัฐ นายทรัมป์ ยังประกาศกร้าวว่า หากพบผู้อพยพก่อคดีในสหรัฐฯ จะบังคับให้ส่งตัวกลับประเทศทันที และเพิ่มบทลงโทษเข้มงวดสำหรับผู้ที่อยู่สหรัฐฯ เกิดกำหนดในวีซ่า พร้อมกับมีแนวคิดไม่ให้ชาวมุสลิมเข้าสหรัฐฯ ด้วย

เพราะนโยบายนี้เอง ทำให้ นายทรัมป์ ต่างได้ใจชาวอเมริกันผิวขาวส่วนใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับโพลสำรวจผู้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งที่พบว่า เกินกว่าร้อยละ 52 ต่างลงคะแนนให้ นายทรัมป์ แต่ขณะที่ชาวอเมริกันเชื้อสายลาติน หรือ ฮิสแปนิก ที่ไม่พอใจกับนโยบายนี้ ต่างเทคะแนนให้ นางคลินตัน กว่าร้อยละ 70

ขณะที่นโยบายบริหารเศรษฐกิจของนายทรัมป์ ที่เคยลั่นวาจาอย่างหนักแน่น ทำให้สื่อวิเคราะห์ว่า สหรัฐฯ อาจจะกลับไปเหมือนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่บริหารโดดเดี่ยว ไม่พึ่งพาใคร นำการลงทุนจากต่างประเทศกลับมาประเทศตัวเอง เพื่อสร้างงานให้คนในประเทศ

ทั้งนี้ นายทรัมป์ ยังประกาศลดภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 15% จากเดิม 35% กลายเป็นนโยบายที่ทำให้ได้ใจผู้คน แต่ความเสี่ยงหลักๆ เรื่องการตัดขาดทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกีดกันสินค้าจากประเทศจีน เป็นสิ่งที่เด็ดเดี่ยวของเขา เนื่องจากอาจจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากยังต้องพึ่งพากำลังการผลิตจากจีนอยู่มาก

หากมองถึงนโยบายบริหารภายในประเทศของนายทรัมป์ เขาตั้งใจจะลดสถิติอาชญากรรมในประเทศให้ได้ หลังจากระยะหลังๆ มักเกิดกรณีความขัดแย้งระหว่างตำรวจกับคนผิวสีหลายครั้ง พร้อมฟื้นเอาบทลงโทษการประหารชีวิตผู้ต้องหากลับมา ส่วนปัญหาอัตราการว่างงานและสวัสดิการของรัฐบาลต่างๆ ที่จะยกเลิกกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับนโยบายเก่าของ บารัค โอบามา โดยเฉพาะประกันสุขภาพที่เป็นปัญหาเรื้อรังที่จะเปลี่ยนให้ประชาชนจ่ายเอง รักษาเอง

ปิดท้ายด้วยนโยบายเรื่องกลุ่มก่อการร้าย นายทรัมป์ วางแผนใช้วิธีเจรจาและแทรกแซงเข้าปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย เนื่องจากเขามองเห็นว่า ประเทศลิเบีย ล่มสลายเพราะการไม่เข้าไปแทรกแซงช่วยเหลือ เขาต้องการจะเข้าไปเจรจากับประเทศอิหร่าน ทำข้อตกลงเรื่องนิวเคลียร์ และร่วมมือกันถล่มกลุ่มไอซิสให้หมดไป รวมทั้งจะไม่ให้สหรัฐฯ ร่วมปฏิบัตินาโต ถ้าประเทศในสมาชิกไม่ช่วยลงขันด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook