เอ๋ นรินทร-ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ เล่าซึ้ง เหตุผลที่รักพ่อหลวง

เอ๋ นรินทร-ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ เล่าซึ้ง เหตุผลที่รักพ่อหลวง

เอ๋ นรินทร-ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ เล่าซึ้ง เหตุผลที่รักพ่อหลวง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ยังคงเดินทางมาถวายความอาลัยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกันคนไทยทั้งประเทศ สำหรับคนในวงการบันเทิง โดยนางเอกสาว "ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ วัชรตระกูล" และ "เอ๋ นรินทร ณ บางช้าง" นักร้องและครูสอนร้องเพลงชื่อดัง ก็ได้เดินทางมาที่บริเวณท้องสนามหลวง พระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกัน 

โดย ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ เปิดเผยความรู้สึกว่า "ก็คิดถึงท่านทุกวันค่ะ เหมือนเราพยายามทำใจแต่ก็ยังมีความเศร้าโศก มันบอกไม่ถูก เชื่อว่าทุกๆ คนรู้สึกเหมือนกันคือตื่นเช้าขึ้นมาก็ใจหาย"

เห็นว่าตั้งใจมาส่งเสด็จตั้งแต่วันแรก ? "เราอยู่ในสถานการณ์เฝ้าติดตามข่าวมาตลอด ตั้งแต่ไหนแต่ไร ต้องบอกว่าวันนั้นเป็นวันที่เราไม่เป็นอันทำงานเลย กองถ่ายก็ยังต้องถ่ายต่อไปเพราะเราก็เข้าใจว่าการตั้งกองแต่ละทีมันก็ต้องมีรายจ่าย แต่สมาธินักแสดงนี่ไม่ไหวแล้ว นั่งดูแต่ทวิตเตอร์เพราะทวิตเตอร์น่าจะเร็วที่สุดช่วงนั้น ท่านไหนไปท่านไหนมาเราก็จะทราบ วันนั้นก็ใจคอไม่ดีเลย จนทราบว่าท่านสิ้นก็พักกองไปอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะทุกๆ คนทำงานไม่ได้ และหลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นจะไปศิริราชแต่ก็ไม่ทัน จริงๆ ได้ได้ครึ่งทางแล้วด้วย เลยรีบมาดูในทีวี"

วันต่อมาทำอะไรบ้าง ? "วันแรกมาเก็บขยะ วันที่สองมาร่วมลงนาม รีบมาตั้งแต่เช้าเลยเพราะกลัวว่าแถวจะยาว วันนั้นยืนรออยู่ 3 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่านาน วันที่สามมาแจกริบบิ้น วันที่สี่มาแจกเสื้อ และเมื่อวานก็พาคุณพ่อคุณแม่มาถวายความอาลัยให้พระองค์ท่าน"

อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากมาทุกวัน ? "หนูเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้เรามีความรู้สึกเดียวกันคือคิดถึงพ่อและยังอยู่ในภาวะที่ยังทำใจไม่ได้ คือเราได้อยู่ตรงนี้มีความรู้สึกว่าเหมือนได้มาใกล้ชิดกับท่าน เชื่อว่าทุกคนที่มาก็มีความรู้สึกเดียวกันคือความรู้สึกคิดถึงท่าน หดหู่รวมถึงขอบคุณ หนูเชื่อว่าทุกคนที่ทำความดีเพราะทุกคนรักท่าน"

ความประทับใจ ? "คือหนูไม่ได้เกิดในช่วงที่ท่านทรงงานหนัก เลยไม่มีโอกาสได้รับเสด็จท่านเลย หนูเกิดมาในช่วงที่ประเทศไทยเจริญแล้วและมีทุกอย่างที่พระองค์สร้างไว้แล้วแต่ก็มีโอกาสได้เห็นพระราชกรณียกิจของท่าน คือเด็กๆ เรามีภาพของพระราชาคือพระราชาอยู่ในวังบนบัลลังก์สุขสบายมีอะไรก็สั่งได้ แต่ภาพที่หนูปลูกฝั่งมาตั้งแต่เด็กคือพระองค์ท่านไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่เราจดจำเหมือนในหนังสือนิทาน

เรากลับเห็นท่านอยู่บนพื้นดินพื้นทราย มีแต่ภาพท่านทรงงาน มีแต่ความเหนื่อยมีแต่ความลำบาก ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็คิดว่าพระองค์ท่านไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นก็ได้ แต่เพราะท่านเห็นว่าคนไทยเป็นลูกท่านถึงได้ทรงงานหนัก เหตุผลนั้นทำให้คนไทยอยากเป็นคนดี อยากจะเดินตามรอยท่าน ไม่ใช่เพราะว่าท่านมีแค่คำสอนแต่เพราะท่านมีผลงานทรงมีพระราชกรณียกิจที่ทรงงานหนักให้ทุกคนได้เห็น นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่คนไทยรักท่าน"

"ท่านทรงงานหนักมาตลอด 70ปี คือทุกวันนี้หนูยังรู้สึกว่าหนูจะเกษียณเมื่อไหร่ แต่พอมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมันทำให้หนูรู้ว่าท่านไม่เคยเกษียณงานเลย ขณะที่เราคิดตลอดว่าเหนื่อยจังทำงานทุกวันอยากจะเกษียณแล้ว แต่ท่านทรงงานมา 70ปี และเป็น 70ปี ที่ท่านทำเพื่อประเทศไทย"

แม้ไม่เคยใกล้ชิดแต่ทำไมถึงรักท่าน ? "บ้านเราก็มีรูปพระเจ้าอยู่หัว ภาพที่เราเห็นในทีวีมีแต่ภาพทรงงานหนักไม่มีนั่งสุขสบายอยู่ในวังมีแต่การทำเพื่อประเทศไทย ทำเพื่อคนไทย มันเป็นการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าเราเห็นการทรงงานหนักของท่านจนเห็นว่าท่านเป็นเหมือนพ่อของเรา เป็นพ่อที่ยิ่งใหญ่ เป็นพ่อของแผ่นดิน ตั้

งแต่วันที่ท่านสิ้นก็มีหลายคนที่บอกเล่าเรื่องของท่าน ทั้งเรื่องที่มีคนเขียนจดหมายเข้าไปในวัง บางคนที่ไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีอาชีพ เจ็บป่วย หรือสังคมอาจจะไม่ได้ปลื้มสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเขาเขียนจดหมายเข้าไปในวังสุดท้ายเขาก็ได้บ้าน ได้เงิน จนทุกวันนี้เขามีอาชีพที่ดี ต้องบอกว่าสิ่งเหล่านี้มันได้เข้าไปอยู่ในใจคนไทยทุกๆ คนแล้ว"

"ถึงแม้ความรู้สึกตอนนี้เราจะตอบไม่ได้ว่าความรู้สึกในใจของเรามันคืออะไร เพราะมันเคว้งคว้าง มันไม่เหมือนเดิม เรารู้แค่ว่าเราคิดถึงท่านตลอดเวลา แม้­­­­­ว่าเราจะไม่มีโอกาสได้เห็นท่านเลยก็ตาม แต่หนูเชื่อว่ามันเป็นความผูกพันและท่านอยู่ในใจมาตลอดนานมาก จนเราใจหายที่ไม่มีท่าน"

"หนูเชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในใจของเราตลอด คือตามที่เราได้เรียนมาตั้งแต่เด็กๆ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คือมันเป็นการปลูกฝั่งมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วย รวมถึงตัวเราได้เห็นพระราชกรณียกิจของท่านจนเรารักที่ท่านได้ทำเพื่อเรา รักที่ท่านได้ทำเพื่อแผ่นดิน"

ขณะที่ "เอ๋ นรินทร ณ บางช้าง" กล่าวว่า "ชีวิตนี้เกิดมาเป็นทั้งนักร้องและครูสอนร้องเพลง ฉะนั้นสิ่งที่ได้ทำและได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านที่สุดก็คงเป็นการได้สอนเพลงพระราชนิพนธ์ และทุกครั้งที่ได้อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์มาสอนมันก็อดไม่ได้จริงๆ นะคะที่น้ำตามันจะไหล เพราะเราจะรู้สึกสงสัยเสมอว่าพระองค์ท่านทรงทำงานหนักตลอดระยะเวลา 70 ปี ได้ยังไงในทุกๆ วัน ท่านไม่เหนื่อยเหรอ"

"เอ๋ต้องบอกก่อนว่าเอ๋มีช่วงความทรงจำที่ประทับใจเกี่ยวกับพระองค์ท่านอยู่ 3 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนประมาณ 8 ขวบ เพราะตอนนั้นบ้านยายของเอ๋ตั้งอยู่แถวคลองผดุงกรุงเกษม เอ๋จึงมีโอกาสได้ไปยืนรอรับเสด็จพระองค์ท่านตรงริมถนนทุกวัน

จนมาถึงครั้งที่สอง ครั้งนี้เอ๋ได้มีโอกาสได้ถวายงานให้กับพระองค์ท่านโดยการร้องเพลงต่อหน้าพระที่นั่งทุกพระองค์ เป็นการร้องเพลงพระราชนิพนธ์ ซึ่งทีมงานก็จะบอกตลอดว่าอย่ามองไปที่ที่ประทับนะเพราะเดี๋ยวจะตื่นเต้นจนร้องเพลงไม่ได้ แต่ว่าใจเอ๋อยากมองเอ๋อดไม่ได้เพราะโอกาสนี้ในชีวิตคงมีแค่ครั้งเดียว

สุดท้ายก็ตลอดระยะเวลาที่เอ๋ได้ร้องเพลงวันนั้นเอ๋ก็มองไปที่ที่ประทับอย่างเดียว ถามว่ามองเห็นไหมก็ไม่เห็นหรอกค่ะเพราะท่านอยู่ไกลมากจากเวทีไปถึงที่ประทับตรงนั้น แต่ถึงแม้เอ๋จะมองไม่เห็นด้วยตา แต่หัวในใจเอ๋กลับเห็นชัดยิ่งกว่า ในหัวใจเอ๋เห็นว่าพระองค์ท่านกำลังทรงยิ้ม"

"แต่มีเด็ดกว่านั้นอีกนะคะเพราะเมื่อคอนเสิร์ตจบเราทุกคนต้องไปยืนส่งเสด็จ ซึ่งตอนนั้นเป็นบุญของเอ๋มาก เพราะทั้งสองพระองค์หยุดตรงหน้าเอ๋พอดี แล้วในหลวงก็ทรงถามว่า "เหนื่อยไหม" เอ๋รู้นะคะว่าพระองค์ทรงห่วงและถามทุกคน แต่เอ๋ก็ทึกทักเอาเองว่าท่านกำลังตรัสกับเอ๋

ความรู้สึกตอนนั้นมันตื้นตัน มันล้นอก มันฟูจนไม่รู้จะบรรยายยังไง จากนั้นสมเด็จพระราชินีก็ยังบอกอีกด้วยว่า "เป็นคอนเสิร์ตที่สนุกมากเลย ไม่น่าเบื่อเลยทั้งคอนเสิร์ต" ซึ่งนั่นคือความประทับใจครั้งที่สองที่เกิดขึ้นในชีวิตเอ๋"

"ส่วนครั้งที่สาม ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ที่ผ่านมา และความรู้สึกเราแย่มากตรงที่ (ร้องไห้) เราไปยืนอยู่ตรงริมถนนเหมือนกัน เหมือนในตอนที่เรายังเป็นเด็ก แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันกลับเป็นคนละแบบ ตอนเราเป็นเด็กเรากราบท่านริมฟุตบาทและเราก็โบกมือบ๊ายบาย แต่ว่าวันนั้นทำได้แค่นั่งพนมมือและอธิษฐานในใจ ดวงตาของเอ๋พร่ามัวมองไม่เห็นอะไรเลยตั้งแต่หัวขบวนขับมาตรงหน้า

ความรู้สึกมันไม่ได้ตื่นเต้นดีใจที่จะได้เห็นพระองค์ท่านใกล้ๆ อีกครั้ง แต่มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลย ฉะนั้นในชีวิตนี้นอกเหนือจากความประทับใจที่มีต่อพระองค์ท่านในเรื่องของพระราชกรณียกิจแล้ว เอ๋ก็ยังมีความประทับใจส่วนตัวแบบนี้อีกต่างหาก"

"ก็อยากจะบอกว่าเป็นคนโชคดีมากเหลือเกินที่ได้เกิดในสมัยรัชกาลของท่าน และก็ไม่รู้ด้วยว่าเราจะได้เกิดอีกหรือเปล่า ได้เกิดอีกเมื่อไหร่ หรือจะได้เกิดอีกหรือไม่ และเราจะได้เจอใครที่เหมือนกับพระองค์ท่าน เอ๋เชื่อว่าซุปเปอร์แมนมีจริงค่ะ เพราะท่านยิ่งกว่าซุปเปอร์แมนอีกยิ่งกว่ามากๆ พระองค์ท่านเป็นคนที่ค้ำจุนคนทั้งประเทศ แถมยังไปค้ำจุนใจคนประเทศอื่นได้ด้วย เอ๋เชื่อว่าคนทั้งโลกที่รู้จักท่านจะรักท่านเหมือนที่คนไทยรักค่ะ"

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ ของ เอ๋ นรินทร-ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ เล่าซึ้ง เหตุผลที่รักพ่อหลวง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook