วธ.ชงครม.ส่งวัตถุโบราณ เศียรเทพ-เศียรอสูร 7 ชิ้นคืนให้เขมร 10 ก.พ.นี้ คาดทำสัมพันธ์ 2ประเทศดีขึ้น
หนังสือระบุอีกว่า 2.วันที่ 25 ธันวาคม 2549 นาย Khim Sarith รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และวิจิตรศิลป์กัมพูชา เดินทางมาเยือนไทย เพื่อหารือกับผู้แทนกรมศิลปากร และ วธ.เกี่ยวกับการส่งคืนวัตถุโบราณ 43 ชิ้นดังกล่าว ผลสรุปในเบื้องต้นเห็นว่า มีวัตถุโบราณ 18 ชิ้น ที่น่าจะเป็นของกัมพูชา และหากกัมพูชาพิสูจน์ได้ไทยยินดีคืนให้ ดังนั้น ไทยจึงขอให้กัมพูชาส่งหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อให้ไทยนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติก่อนส่งคืนวัตถุโบราณคืน โดยเมื่อเดือนมกราคม 2551 กต.ได้รับแจ้งจากกรมศิลปากรว่า กัมพูชาส่งหลักฐานให้พิจารณา 7 ชิ้น 3.วันที่ 3 มิถุนายน 2551 วธ.ได้เสนอเรื่องต่อ ครม.เพื่อพิจารณาเรื่องการส่งวัตถุโบราณ 7 ชิ้น คืนให้กัมพูชา โดย กต.ให้ความเห็นสนับสนุนตามที่ วธ.เสนอ แต่เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2551 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งว่า วธ.มีหนังสือขอถอนเรื่องดังกล่าวจากการพิจารณาของ ครม.เนื่องจากเกิดข้อถกเถียงระหว่างไทย และกัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร และ 4.สถานการณ์ระหว่างไทย และกัมพูชากำลังพัฒนาไปสู้ทิศทางที่ดีขึ้น ดังนั้น หากไทยสามารถส่งคืนโบราณวัตถุจำนวน 7 ชิ้น ให้กัมพูชาได้ในช่วงการเยือนของรัฐมนตรีว่าการ กต.จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ และความเข้าใจระหว่างรัฐบาล และประชาชนของทั้งสองฝ่ายให้ดีขึ้น
แหล่งข่าวคนหนึ่งจาก กต.กล่าวว่า ขณะนี้ วธ.เตรียมเสนอที่ประชุม ครม.ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เพื่อให้ความเห็นชอบในการส่งคืนวัตถุโบราณเขมร 7 ชิ้นให้กัมพูชาอีกครั้ง หลังจากที่เคยเสนอต่อ ครม.พิจารณาเมื่อครั้งที่นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ วธ.แต่ได้สั่งขอถอนเรื่องออกจากการพิจารณาของ ครม.เนื่องจากในขณะนั้นได้เกิดประเด็นปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร โดยนายอนุสรณ์เกรงว่าจะมีการนำเรื่องวัตถุโบราณของกพัมพูชา 7 ชิ้น รวมเข้ากับประเด็นความขัดแย้งเรื่องพื้นที่ทับซ้อน จึงให้รอจนกว่าความขัดแย้งจะชัดเจนก่อน ทำให้เรื่องดังกล่าวยึดยื้อจนถึงปัจจุบัน
แหล่งข่าวจาก กต.กล่าวว่าต่อว่า สำหรับวัตถุโบราณทั้ง 7 ชิ้นนั้น เป็นวัตถุโบราณส่วนหนึ่งที่กรมศุลกากรได้ตรวจยึดจากการนำเข้าโดยผิดกฎหมายบริเวณท่าเรือ จ.สมุทรปราการ รวม 43 ชิ้น และได้ดำเนินดีกับผู้กระทำผิดจนคดีสิ้นสุด กรมศุลกากรจึงนำวัตถุโบราณของกลางที่ยึดไว้ส่งมอบให้กรมศิลปากรเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก เพื่อตรวจสอบ และส่งคืนกัมพูชา ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบพิสูจน์ กำหนดอายุสมัย กำหนดค่าทรัพย์สิน และประเมินราคาของโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ สิ่งเทียมโบราณวัตถุ และสิ่งเทียมศิลปวัตถุ กรมศิลปากร ได้มีมติเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2550 ว่าวัตถุโบราณดังกล่าวเป็นชิ้นส่วนประติมากรรมรูปเศียรเทพ หรือเทวดา 1 ชิ้น ขนาดความสูง 43 เซ็นติเมตร และเศียรอสูร หรือยักษ์ 6 ชิ้น ขนาดความสูง 60, 66, 71, 75, 78 และ 81 เซ็นติเมตร รวมทั้งสิ้น 7 ชิ้น จาก 43 ชิ้น เป็นวัตถุโบราณที่แกะสลักจากหินทราย มีรูปแบบศิลปะเขมร แบบบายน ราวพุทธศตวรรษที่ 18 มีความคล้ายคลึงกับภาพถ่ายวัตถุโบราณที่เป็นชิ้นส่วนจากโบราณสถานปราสาทบันทายฉมาร์ เมืองยันทราย เมียนเจย ตามที่รัฐบาลกัมพูชาจัดส่งหลักฐานมาให้ คณะกรรมการฯ จึงเห็นสมควรที่จะส่งวัตถุโบราณทั้ง 7 ชิ้นคืนให้กับกัมพูชา โดยจะต้องนำเสนอให้ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบ เพื่อส่งคืนในนามของรัฐบาลไทย
ส่วนวัตถุโบราณที่เหลืออีก 36 ชิ้นยังไม่ส่งคืน เนื่องจากหลักฐานที่กัมพูชาส่งมายังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า เป็นโบราณวัตถุจากประเทศกัมพูชาจริงหรือไม่แหล่งข่าวจาก กต.กล่าว