คสช.ยันมีหลักฐานบึ้มลุยขยายผล-สมยศเชื่อจับคนร้ายได้
คสช. เร่งขยายผลจับผู้ก่อเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ วางมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มข้นขึ้น ขณะที่ ผบ.ตร.มั่นใจจับมือระเบิดได้แน่ ส่วนกรณีคนร้ายเปลี่ยนเสื้อและกระเป๋าเป้ตรวจสอบพบกล้องไม่สามารถใช้งานได้ -โฆษก ตร. ยังไม่ยันชายเสื้อฟ้าโยงบึ้มสาทร
พันเอก(พิเศษ) วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. แถลงถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ว่าสถานการณ์เป็นไปด้วยความสงบมากขึ้นแล้ว ขณะที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ยังคงได้รับความปลอดภัยเป็นอย่างดี
ทางด้านการผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการตรวจสอบหลักฐาน และอัตลักษณ์เพื่อขยายผลคดีต่อไป
สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ทาง คสช. ได้มอบหมายหน่วยงานให้ดำเนินการช่วยเหลือ โดยมีกระทรวงยุติธรรม เป็นกระทรวงหลัก ในการเยียวยา ซึ่งผู้ไดรับบาดเจ็บ จำนวน 16 ราย แบ่งออกเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 13 ราย และชาวไทย 3 ราย ซึ่งได้รับการช่วยเหลือรวมจำนวน 104 ราย ทั้งนี้ ในส่วนของผู้บาดเจ็บ ขณะนี้สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว 2 ราย ยังคงเหลือการรักษาอีก 50 ราย
อย่างไรก็ดี คสช. ฝากให้ประชาชนร่วมมือแจ้งเบาะแส มาที่ เบอร์ 1515 ซึ่งมีความเป็นห่วงสังคมตื่นตระหนก และข่าวสารทางโซเชียลต่าง ๆ ที่อาจทำให้ประชาชนสับสนได้ อีกทั้ง กังวลว่า อาจมีผู้ไม่หวังดีสร้างความวุ่นวาย ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ซึ่ง คสช. จะเดินหน้าดำเนินการขยายผลคดีกับกลุ่มดังกล่าวต่อไป
สมยศเชื่อจับมือบึ้มได้-CCTVพังไม่ชัดคนร้ายเปลี่ยนเป้
พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่า อุปกรณ์การสืบสวนที่ตำรวจไทยใช้ในขณะนี้ ด้อยประสิทธิภาพ ขณะที่ อุปกรณ์การสอบสวนที่ทันสมัย ก็ไม่ได้มีการจัดซื้อมา จึงทำให้เป็นอุปสรรคในการตามจับกุมผู้ก่อเหตุวางระเบิดแยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร
โดย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า เบื้องต้น ได้เสนอให้รัฐบาล จัดซื้อและนำระบบไบโอเมทริค ซึ่งเป็นระบบที่ตรวจสอบทั้งระบบ เช่น การสแกนลายนิ้วมือ ม่านตา และภาพถ่ายใบหน้า แต่อยู่ในขั้นตอนเสนอให้รัฐบาลจัดซื้อ โดยจะใช้งบประมาณจากค่าธรรมเนียม ค่าปรับส่วนหนึ่งของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ประมาณพันล้านบาท มาติดตั้งระบบดังกล่าว ซึ่งจะไปติดตั้งตามด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศพร้อมย้ำว่า ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า ผู้ก่อเหตุวางระเบิดแยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วหรือไม่ และย้ำยังไม่ตัดประเด็ดใดทิ้ง แต่ยอมรับว่า วัตถุพยานบางอย่างของเหตุระเบิดทั้งสองแห่งมีความเชื่อมโยงกัน แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ โดยคดีระเบิดท่าเรือสาทร พนักงานสอบสวนเร่งรวบรวมหลักฐาน และอาจพิจารณาออกหมายจับได้ในเร็ว ๆ นี้ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังมั่นใจอีกว่า จะสามารถจับกุมผู้ที่ก่อเหตุได้อย่างแน่นอน
ส่วนกรณี การตั้งข้อสังเกตจากคำบอกเล่าของพยานบางส่วน ว่าผู้ก่อเหตุมีการเปลี่ยนเสื้อและกระเป๋าเป้ บริเวณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นั้น ตนได้สั่งการให้ไปตรวจสอบแล้วพบว่า กล้องไม่สามารถใช้งานได้ส่วนกรณีมีการเผยแพร่พยานหลักฐานต่าง ๆ ตามโซเชียล และสื่อต่างประเทศบางสำนักนั้น ยืนยัน ตำรวจรับฟังไว้ และอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า เป็นหลักฐานจริงหรือไม่ แต่ก็ยอมรับว่า ที่ผ่านมา มีผู้ที่หวังดีและไม่หวังดีแจ้งข้อมูลเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงขอเตือนผู้ที่แจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จ สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคม อาจมีความผิดและถูกดำเนินคดีได้
ประวุฒิไม่ชัดชายเสื้อฟ้าโยงบึ้มสาทรจี้พบตร.
พลตำรวจโท ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่ยืนยัน ชายสวมเสื้อสีฟ้า ที่ปรากฏในภาพจากกล้องวงจรปิด บริเวณท่าเรือสาทร เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดดังกล่าวหรือไม่ แต่จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดย้อนหลัง 2 วัน ก็พบเพียงชายเสื้อฟ้าที่เข้าข่ายต้องสงสัย แต่หากไม่เกี่ยวข้อง ก็ขอให้มาแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยการเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ขณะนี้มีพยานหลักฐานพอจะยืนยัน หรือชี้ชัดได้ว่าระเบิดไม่ได้ถูกโยนลงมาจากสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน และ เรื่องการจุดชนวน อาจจะเป็นการตั้งเวลา เนื่องจากระเบิดมี
วัสดุที่กันน้ำอย่างดี จึงเป็นไปได้ว่า จะเป็นการหน่วงเวลาทำให้เกิดระเบิด แต่ส่วนใหญ่แล้ว การวางระเบิดเพื่อ
หวังผลจะไม่ใช้วิธีการลักษณะเช่นนี้
ส่วนการรวบรวมพยานหลักฐาน จะมีเพียงพอต่อการออกกหมายจับหรือไม่ พลตำรวจโท ประวุฒิ กล่าวว่า
จะต้องรอให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานให้ละเอียดรอบครอบก่อน แต่ขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายจับบุคคลใดเพิ่มเติม
ส่วนความคืบหน้าคดี นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เสียชีวิตจากอุบัติทางรถยนต์ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ที่ผ่านมา นั้น เบื้องต้นในส่วนของการโอนหุ้นพบความผิดปกติของเอกสาร และขบวนการการโอนหุ้น อย่างชัดเจน โดยขณะนี้ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสรุปสำนวน รวมถึงจะมีการประชุมสรุปผล เพื่อดำเนินการขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้กระทำผิดในคดี ที่กองบังคับการปราบปราม ภายใน 1 - 2 วันนี้