นายกฯย้ำเข้มโกงลุยศก.ขอปชช.ประหยัดน้ำเร่งช่วยภัยแล้ง

นายกฯย้ำเข้มโกงลุยศก.ขอปชช.ประหยัดน้ำเร่งช่วยภัยแล้ง

นายกฯย้ำเข้มโกงลุยศก.ขอปชช.ประหยัดน้ำเร่งช่วยภัยแล้ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายกรัฐมนตรี ชวนคนไทย ร่วมรำลึก วันคล้ายวันสวรรคตครบ 20 ปี ของสมเด็จย่า ย้ำเดินตามโรดแม็ปจี้ทุกฝ่ายทำตามเป้า รอรัฐธรรมนูญพร้อมทำประชามติ ต้านโกงยึดกฏหมาย ลุย เศรษฐกิจ ขอปชช.ประหยัดน้ำ เร่งช่วยภัยแล้ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า ในวันพรุ่งนี้ (18 ก.ค.) เป็นวันคล้ายวันสวรรคตครบ 20 ปี ของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ "สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทย" ผู้ทรงมีพระวิริยะอุตสาหสูง ในการทำงานเพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า รัฐบาลขอเชิญชวนให้ทุกคนได้ร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย มีความสุข ซึ่งมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ จะจัดงาน  "20 ปี เราไม่ลืม" เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และสนองพระราชกระแสรับสั่งของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อราชเลขานุการในพระองค์ฯ และเลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ว่า "ทำอย่างไรอย่าให้คนลืมแม่" โดยจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดปีทั่วประเทศ เช่น กิจกรรมเผยแพร่พระสาทิสลักษณ์ ที่จังหวัดเชียงราย, เพลงเทิดพระเกียรติสมเด็จย่าของ "บอย โกสิยพงษ์" ร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ แต่งขึ้นเป็นพิเศษ และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมายสามารถติดตามรายละเอียดได้ในเพจ facebook "สมเด็จย่า"

พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้ส่งความปรารถนาดี ไปยังชาวไทยมุสลิมทุกคน หลังผ่านพ้นเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์ ถือศีลอด ได้เฉลิมฉลอง “วันอีดิลฟิตรี” ก็ขออำนาจเอกองค์ พระผู้บริบาล ได้ประทานความสุข ความจำเริญ และสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ มีจิตใจที่มั่นคง เพื่อดำรงไว้ซึ่งความดีความงาม และปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างสมบูรณ์ บำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์สุขต่อสังคมตลอดไป

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า เรื่องการต่อต้านการทุจริตถือเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาล และ คสช. ให้ความสำคัญมาก เพราะเป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศสะท้อนถึงวิกฤตการณ์ด้านคุณธรรม จริยธรรมของคนในสังคม ส่งผลกระทบในทางลบทุกแวดวง ทั้งราชการและเอกชน โดยมองว่าการแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนนั้น ต้องปลูกฝังจิตสำนึกค่านิยมให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน ให้รังเกียจการโกง คนโกง ทำให้คนโกงไม่มีที่ยืนในสังคม ด้วยการดำเนินโครงการ "โตไปไม่โกง" และโครงการฝึกอบรมการใช้เครื่องมือในการเรียนการสอนหลักสูตรโตไปไม่โกง เพื่ออบรมครูทั่วประเทศกว่า 600 คน ทำหน้าที่ขยายแนวคิดนี้ไปสู่กว่า 30,000 โรงเรียนทั่วประเทศ พร้อมย้ำว่ารัฐบาลมีความจริงจังที่จะดำเนินการลงโทษคนที่ทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม ใครทำผิดจะต้องถูกดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงแนวทางในการปราบทุจริตคอร์รัปชั่น ว่า แบ่งเป็น 3 เรื่องหลัก ประกอบด้วย 1.การปฏิรูปการให้บริการภาครัฐเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมความเข้มแข็ง ให้เข้าถึงบริการภาครัฐ ให้ “เร็วขึ้น ง่ายขึ้น แต่ถูกลง”, 2.ยกระดับการบังคับใช้มาตรการทางปกครอง ทางวินัยให้เข้มข้น เข้มแข็งมากขึ้น หลังจากมีการใช้ ม.44 เพื่อคลี่คลายปมปัญหา ในการบริหาราชการของเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปแล้ว, 3.ใช้มาตรการทางภาษีเป็นเครื่องมือการตรวจสอบเชิงรุกสำหรับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริต ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกล่าวหา หรือเอกชน

นอกจากนี้ จะมีการปรับปรุง แก้ไข และยกระดับกฎระเบียบในการจัดซื้อจัดจ้างเดิม จากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ เป็น “กฎหมาย” เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และป้องกันการทุจริต ไม่ให้นักการเมืองทุจริต ข้าราชการคอร์รัปชั่นได้ โดยยึดหลักความคุ้มค่า ความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ-ประสิทธิผล และตรวจสอบได้ ตลอดจน กำหนดให้ทำสัญญาคุณธรรม รวมถึงจัดตั้ง “กองทุนส่งเสริมธรรมาภิบาลและขจัดการทุจริต” เพื่อนำมาใช้ในการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตด้วย

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี นกล่าวว่า การสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจองค์รวม จะต้องมีการเชื่อมโยง “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” กับ “ชุมชน” และต้องเติบโตไปพร้อม ๆ กันกับประเทศเพื่อนบ้าน ในลักษณะเป็นหุ้นส่วน ทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากไทยมีจุดแข็งในการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ซึ่งกิจกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจะมีทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร และภาคบริการ เช่น การขนส่ง-โลจิสติกส์ คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า รวมถึงการบริหารจัดการในการอำนวยความสะดวก ในการเคลื่อนย้ายสินค้า การบริการ แรงงาน ทุนและปัจจัยการผลิต เพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การพัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนั้นต้องสอดคล้องกับชุมชน โดยได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้เกิด “ธุรกิจชุมชน” ของประชาชนของเกษตรกร เพื่อสร้างอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจและนำกิจกรรมทางเศรษฐกิจของชุมชนไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลกำไรกับมาสู่ชมชุนของตนภายใต้ “ระบบสหกรณ์ชุมชุน” ด้วย

ในโอกาสนี้ นายกฯ ได้หยิบยกพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดสระแก้ว เป็นตัวอย่าง ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษ กัมพูชา ในเขตปอยเปต โอเนียง ก็สามารถจะพัฒนาเป็นศูนย์อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร คลังสินค้าและการขนส่ง สร้างโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า การเดินหน้าของรัฐบาล ของ คสช.มาสู่ระยะที่ 2 แล้ว เหลือระยะที่ 3 ที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งเป็นเรื่องของการมีรัฐบาลในโอกาสต่อไป เมื่อมีความพร้อมของรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ การเลือกตั้ง ก็เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้วเดิม แต่ เร่งรัดทุกกระทรวง ทบวง กรม ให้ทำงานได้ผลสัมฤทธิ์ในทุกกิจกรรมที่ได้สั่งการไปแล้ว อย่างเป็นรูปธรรมนะครับ ภายใต้ความพึงพอใจของประชาชน หรือตรงกับความต้องการของประชาชน  พร้อมยืนยันได้สั่งการให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปดูกิจการของตัวเอง ที่มีปัญหาข้อขัดข้องในเรื่องของการลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน พลังงาน เหมืองแร่ อะไรต่างๆ แล้วจะต้องแก้ไขปัญหาให้ได้โดยเร็วว่าจะสามรรถเดินหน้าได้หรือไม่ และต้องไม่ขัดแย้งมองที่ผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก

ขณะเดียวกัน กล่าวถึง วิกฤตภัยแล้ง ว่า แม้จะวิกฤตน้ำ แต่เชื่อว่าคนไทยไม่เคยแล้งน้ำใจ ถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้ร่วมมือกันแสดงให้เห็นถึงความรักความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้พร้อม ๆ กัน เสียสละแบ่งปันกันเพื่อส่วนรวม ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ซึ่งในขณะนี้ ต้นทุนน้ำมีน้อยมาก ฝนไม่ตก น้ำในเขื่อนก็น้อยมาก จำเป็นต้องมีการประหยัดน้ำ ใช้น้ำให้เกิดประโยชน์ คุ้มค่าสูงสุด รักษาน้ำให้ได้ไปถึงเดือนสิงหาคม ขอให้ฟังแล้วก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของราชการ พร้อมกับยืนยันว่า รัฐบาลกำลังหาทางพิจารณาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งคาดว่าในสัปดาห์หน้าน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ทิ้งท้ายว่า องค์การอนามัยโลกได้มีหนังสือมาแสดงความชื่นชม ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์สได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ มีการร่วมมือกันอย่างเต็มที่ระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ น่ายินดีและต้องขอบคุณข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ทำงานกันอย่างเต็มที่


'หม่อมอุ๋ย'มั่นใจ 10 อุตฯใหม่ช่วยดึงนักลงทุน

หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ว่า ปัจจุบันส่งออกไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก โดยอัตราการขยายตัวในช่วง 5 เดือนแรก พบว่าลดลงประมาณ 4% ซึ่งกดดันให้เศรษฐกิจหดตัว แต่ถือว่ายังโชคดีที่มีท่องเที่ยวที่เป็นปัจจัยบวก คือ ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาขยายตัวแล้ว 28% โดยมากกว่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ติดลบ นอกจากนี้ การลงทุนเอกชน พบว่า ช่วง 6 เดือนแรก มีการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแล้ว 2,451 โรงงาน มีเงินหมุนเวียนในระบบ 184,690 ล้านบาท มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 58,800 คน ซึ่งส่วนตัวมองว่ายังมีจำนวนไม่มากพอ 

ขณะที่ตัวเลขขอรับการส่งเสริมลงทุน 6 เดือนแรก อยู่ที่ 1,254 ราย เงินทุน 412,690 ล้านบาท โดยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างมาก อาทิ ปี 54 ที่ 1,600 โครงการ ปี 55 ที่ 2,260 โครงการ ปี 56 ที่ 2,014 โครงการ และปี 57 ที่ 1,662 โครงการ อย่างไรก็ตาม 

จากตัวเลขที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติมนั้น พบว่า มีอุตสาหกรรมประเภทใหม่ 309 โครงการ ใน 1,254 ราย แบ่งเป็น 10 หมวด อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัล กลุ่มส่งเสริมศูนย์กลางธุรกิจ กลุ่มผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าจะสามารถดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศเพิ่มเติมได้











แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook