ถังแตก! สหรัฐฯ สั่งปิดหน่วยงานภาครัฐ จนท.ตกงานกว่า 7 แสนคน

รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ถังแตกสั่งปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ ครั้งแรกในรอบ 17 ปี หลังจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร และวุฒิสภาสหรัฐฯ ไม่สามารถหาข้อตกลงเกี่ยวกับการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลได้ทันตามกำหนดเส้นตาย เมื่อเที่ยงคืนที่ผ่านมาตามเวลาในสหรัฐฯ ทำให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐมากกว่า 700,000 คน จะต้องถูกเลิกจ้าง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ยังคงยืนยัน ร่างงบประมาณฉุกเฉิน ที่พ่วงกับการเลื่อนบังคับใช้กฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข หรือ "โอบามาแคร์" ขึ้นมาอีกครั้ง และถูกสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งพรรคเดโมแครต ครองเสียงข้างมาก ปฏิเสธทันทีตามความคาดหมาย ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นถกถียงกันมาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และเมื่อถึงกำหนดเส้นตาย เมื่อเวลาเที่ยงคืนตามเวลาในสหรัฐฯ หรือประมาณ 11.00 น. วันนี้(1ต.ค.56) ที่ผ่านมาตามเวลาในไทย ที่กฎหมายงบประมาณ สำหรับอุดหนุนกิจกรรมของภาครัฐจะสิ้นอายุลง แต่ยังไม่สามารถหาทางออกได้ จนทำให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องสั่งปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางบางส่วนที่ไม่มีความสำคัญทั้งหมดทันที ซึ่งนั่นหมายความว่า เจ้าหน้าที่ภาครัฐมากกว่า 700,000 คน จะต้องถูกเลิกจ้าง อีกทั้งไม่มีการรับประกันด้วยว่า พวกเขาจะได้รับเงินเดือนย้อนหลังหรือไม่

การสั่งปิดหน่วยงานรัฐ นับเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี โดยเช้าวันรุ่งขึ้น ตามเวลาในสหรัฐฯ หรืออีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า พนักงานของหน่วยงานภาครัฐ ในหน่วยงานที่ไม่สำคัญ ที่ถูกสั่งปิด จะต้องเก็บข้าวของกลับบ้าน ซึ่งหน่วยงานที่จะถูกสั่งปิดได้แก่ เจ้าหน้าที่ดูแลอุทธยานแห่งชาติและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของสหรัฐฯ จำนวนทั้งสิ้น 700,000 อัตรา โดยจะส่งผลทำให้พวกเขาได้รับเงินบำเหน็จและสวัสดิการต่างๆ ล่าช้า อย่างไรก็ตาม สำหรับบางหน่วยงาน อาทิ เจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินทางทางอากาศและเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาหาร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญ บรรดาพนักงานจะไม่ถูกเลิกจ้างแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามในกฎหมายให้การรับรองว่า บรรดาทหารอเมริกันที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น จะได้รับค่าตอบแทนตามเดิมอย่างแน่นอน แม้รัฐบาลสหรัฐฯจะสั่งปิดหน่วยงานของรัฐบาลก็ตาม ส่วนหน่วยงานด้านความปลอดภัย ด้านสาธารณะสุขและความมั่นคง จะยังคงเดินหน้าต่อไปแม้จะมีพนักงานบางส่วนถูกสั่งปลดจากงาน