คนรักหมา
อ่านเมื่อไรก็ต้องอมยิ้มเมื่อนั้น...
หมานั้นเปลี่ยนชีวิตจิตใจทั้งหมดและความเป็นอยู่ทั้งหมด เพื่อให้เข้ากับชีวิตจิตใจและความเป็นอยู่ของคน แต่แมวนั้นตรงกันข้าม ถึงแม้ว่าแมวจะอยู่กับคนมานานนับเป็นเวลาพันๆ ปีก็ตาม แมวไม่ได้เปลี่ยนอะไรในตัวเลย เคยมีอิสรเสรีเมื่อเป็นสัตว์ป่าอย่างไร ก็คงอยู่อย่างนั้น แมวจึงเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ป่าชนิดเดียวที่ไม่กลัวคนและอยู่ใกล้คนมากที่สุด หรือเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ป่าที่อยู่กลางใจเมืองอย่างผ่าเผย อาศัยอยู่ในบ้านคนด้วยอิสรเสรีเป็นที่สุด เพราะเหตุเดียวที่ว่าในบ้านคนนั้นมีอาหารมากที่สุด ได้แก่หนู ซึ่งแมวจะจับกินเอง และอาหารตลอดจนความสุขสบายต่างๆ ที่คนเคยปรนเปรอให้
// //
เหมือนอเมริกาให้ความช่วยเหลือแก่เมืองไทย ผิดกันแต่ตรงที่แมวนั้นมิได้ตกเป็นทาสแห่งมือที่ขุนตน เป็นอิสรเสรีทุกประการ เวลาคนที่เลี้ยงนั้นเรียก ชอบใจจะมาก็มา ไม่ชอบใจก็ไม่มา นึกสนุกขึ้นมาก็ไปเที่ยวที่อื่นเสียหลายวัน และนึกจะกลับบ้านเมื่อไรก็กลับ เวลาหิวขึ้นมาก็เรียกกินเฉยๆ จ้องหน้าร้องบอกให้รู้ว่าหิว ไม่ต้องเสแสร้งทำเพทุบายหรือก่อสถานการณ์ใดๆ ขึ้น
ใครก็ตามที่แต่งบทดอกสร้อยว่า ร้องเรียกเหมียวๆ เดี๋ยวก็มา เคล้าแข้งเคล้าน่าเอ็นดู นั้นเข้าใจแมวผิดหมด ที่แมวมาหานั้นไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะนึกว่าเรียกให้มากิน และที่เคล้าแข้งเคล้าขานั้นก็เพราะแมวรู้สึกสบายดีเมื่อทำเช่นนั้น เวลาไม่มีขาคน ขาโต๊ะก็เคล้า
สรุปความแล้วแมวก็คือเสือขนาดเล็กที่คนเอามาไว้ใกล้ตัว
บางเวลาที่อยู่กันสองต่อสอง แมวก็จะหมอบฟาดหาง จ้องดูคนด้วยสายตาที่น่ากลัวเหมือนกับจะคิดว่าถ้าแมวนั้นตัวโตเท่าเสือ แมวก็จะกระโดดตะครุบจับคนกินเสียเดี๋ยวนั้น แมวที่บ้านผมมองผมอย่างนี้บ่อยๆ
แต่หมานั้นมองผมด้วยสายตาเคารพบูชา ฉะนั้น ใครที่นึกว่าตัวเป็นเจ้าของแมว คนนั้นก็เข้าใจตัวเองผิดถนัด
คนอย่างนี้ใครตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีก็เน่า ในที่สุดก็ต้องเรียกรถถังมาไล่ออกไป
ปิดท้ายของอาจารย์หม่อมนอกจากอมยิ้มแล้ว ยังถือเป็นสัจธรรมการเมืองไทยมาจนทุกวันนี้
สวัสดีปีเก่าครับ...
บัญชร ชวารศิลป์
ตะลุยข่าว : THE GREEN POLICE กองปราบฯ สู่ศตวรรษที่ 21
ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกสามารถระงับยับยั้งปัญหาอาชญากรรมให้ลดลงและควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดได้ ตรงกันข้ามกับประเทศไทย กลับมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และมีการกล่าวถึงในระดับนานาชาติว่า