จับพิรุธ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ กลับคำไม่ได้โต้เถียง หมอมุก

จับพิรุธ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ กลับคำไม่ได้โต้เถียง หมอมุก

จับพิรุธ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ กลับคำไม่ได้โต้เถียง หมอมุก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ กลับคำไม่ได้โต้เถียงกลับหมอมุก บอก"ผมไม่รู้จักเขา" ด้านตร.เผยคดีคืบหน้าไปมาก ยันกองทัพไม่มีการกดดัน

(24 มิ.ย.) วานนี้ 23 มิ.ย. ที่ สน.พญาไท ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีที่ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าขับรถชน พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือหมอมุก จนได้รับบาดเจ็บสาหัสว่า ภายหลังจาก พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ และ นางสภาวัน ภู่กลั่น ภรรยา ให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนนานกว่า 5 ชั่วโมงจนเสร็จสิ้น

พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ได้เปิดเผยว่า ตนพาภรรยามาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำ และตนก็ได้มาให้ปากคำเพิ่มเติม พร้อมยืนยันและยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขับรถในวันนั้น ผมรู้สึกเสียใจและขอรับผิดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อถามว่าเหตุการณ์ในวันนั้นทำไมถึงไม่ยอมหยุดรถ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า ในวันเกิดเหตุผมขับรถวนไปวนมา 2 รอบ

จากนั้น พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ได้หยุดพูดพร้อมหยิบภาพถ่ายขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะยกมือไหว้สื่อมวลชน และเดินน้ำตาคลอเบ้าออกไปจากห้องประชุมโดยทันที โดยมีผู้สื่อข่าวเดินตามไปและถามว่า มีการโต้เถียงกับหมอมุกจริงหรือไม่ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า "ไม่ครับ ผมไม่รู้จักเขา"

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ได้เดินทางเข้ามอบตัวและให้การว่า วันเกิดเหตุได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านสามเสนวิลล่า พร้อมครอบครัว จากนั้นได้เดินทางมาที่รถเพื่อเดินทางกลับ แต่ไม่สามารถนำรถออกไปได้ เนื่องจากมีรถจอดปิดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และด้านข้างมีรถของหมอมุกจอดปิดอยู่ จึงมีปากเสียงกัน เนื่องจากลูกสาวของตนเองได้ไปเขียนต่อว่าที่กระจกรถ ส่วนภรรยาก็บอกว่าเป็นที่สาธารณะ ซึ่งคำให้การข้างต้นแตกต่างกับคำให้สัมภาษณ์ของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ที่บอกว่า ไม่ได้โต้เถียงกับหมอมุกในวันเกิดเหตุ

ด้าน พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยภายหลังการสอบปากคำ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น และนางสภาวัน ภรรยา กว่า 5 ชั่วโมง ว่าทางคดีเจ้าหน้าที่ต้องพิสูจน์ใน 2 ประเด็น คือ พิสูจน์ว่าใครเป็นผู้กระทำผิด และมีความผิดฐานใด ผลตรวจดีเอ็นเอภายในรถ จะเป็นหลักฐานที่ชัดเจนเพื่อพิสูจน์ตัวบุคคลที่อยู่ภายในรถได้และใครนั่งอยู่ตรงไหน โดยขณะนี้คดีมีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ 70-80% กองทัพก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และไม่มีการกดดันเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook