แม่อุ้มแฝด5เดือน ร้องร.พ.ทำคลอดลูกตาบอด

แม่อุ้มแฝด5เดือน ร้องร.พ.ทำคลอดลูกตาบอด

แม่อุ้มแฝด5เดือน ร้องร.พ.ทำคลอดลูกตาบอด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แม่เด็กแฝดวัย 5 เดือน อุ้มลูกเข้าแจ้งความ ร.พ.ชื่อดัง ใน จ.ฉะเชิงเทรา ทำคลอดลูกตาบอด เผยมีฐานะยากจนจึงอยากให้ รพ.รับผิดชอบบ้าง

       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (7 มิ.ย.) ที่ สภ.เมือง ฉะเชิงเทรา น.ส.กชวรรณ โตทรัพย์ อายุ 42 ปี พร้อมด้วย นายอุทัย พันละออ อายุ 39 ปี สองสามีภรรยา อุ้มลูกฝาแฝด 2 คน คือ ด.ญ.เพชรรัตน์ พันละออ (น้องไหม) และ ด.ญ.อมรรัตน์ พันละออ (น้องหม่อน) อายุ 5 เดือน 18 วัน เข้าแจ้งความร้องทุกข์ ที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา

       สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.53 ที่ผ่านมา ได้เดินทางมาคลอดบุตรยังที่ ร.พ.ดังกล่าว ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ตามระบบการส่งต่อ ของ ร.พ.พนมสารคาม ซึ่งขณะนั้นมีอายุครรภ์ได้ 7 เดือน โดยหลังคลอดบุตรออกมาเป็นเพศหญิงฝาแฝด คนแรก คือ น้องไหม มีน้ำหนัก 1,090 กรัม ส่วนที่สอง คือ น้องหม่อน มีน้ำหนัก 1,100 กรัม หลังการคลอดทางเจ้าหน้าที่พยาบาลได้นำบุตรทั้งสองคน เข้าอยู่ในตู้อบในทันที โดยทาง ร.พ.ได้ใช้เวลาในการดูแลเด็กอยู่ภายในตู้อบเป็นเวลานานกว่าหนึ่งเดือน

       จนน้องไหมบุตรคนที่คลอดออกมาเป็นคนแรกนั้น มีสภาพร่างกายที่แข็งแรงดีแล้ว จึงได้ส่งกลับไปเลี้ยงยังที่บ้าน เมื่อวันที่ 17 ก.พ.54 ส่วนน้องหม่อน หรือบุตรคนที่สองนั้น เมื่อวันที่ 9 ก.พ.54 ทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้มาบอกว่า น้องหม่อนมีอาการผิดปกติทางด้านสายตาจึงยังคงต้องอยู่ในความดูแลของทางแพทย์ต่อไปก่อน 

       น.ส.กชวรรณ กล่าวว่า จากนั้นทาง ร.พ.ดังกล่าวได้บอกอีกว่าจะต้องนำตัวเด็กส่งไปรักษาต่อยังที่โรงพยาบาลเด็ก ในกรุงเทพฯ ซึ่งระหว่างนั้นทาง ร.พ.ดังกล่าว ได้ให้กลับไปพักอยู่ยังที่บ้านก่อน จึงได้ออกจากโรงพยาบาลไป เมื่อวันที่ 24 ก.พ.54 จนเมื่อวันที่ 8 มี.ค.54 นี้ บุตรสาวจึงได้ถูกส่งไปยัง ร.พ.เด็ก เพื่อให้แพทย์ทำการตรวจรักษา โดยที่แพทย์ที่ ร.พ.เด็ก ได้ทำการส่องกล้องตรวจอาการ และนัดให้นำเด็กมาทำการผ่าตัด ยิงเลเซอร์ เมื่อวันที่ 9 มี.ค.54 ซึ่งตนก็ได้ไปตามนัด

       "หลังจากแพทย์ได้นำเด็กเข้าไปทำการผ่าตัด กลับบอกว่าไม่สามารถที่จะทำการผ่าตัดรักษาตาของเด็กให้หายกลับมาเป็นปกติได้แล้ว เนื่องจากอาการได้เลยระยะเวลาที่จะทำการรักษาไปถึงระยะที่ 5 แล้ว ซึ่งการรักษาควรจะอยู่ที่ระยะ 2-3 เท่านั้น จึงจะทำการรักษาด้วยเลเซอร์ได้ ซึ่งสาเหตุนั้นเกิดจากเด็กได้รับออกซิเจน มากเกินไป จนทำให้จอประสาทตาเกิดเป็นผังพืดหนามาก จนไปถึงจอประสาทตา และจอประสาทตาได้หลุดลอกออกมา จนตาทั้งสองข้างบอดสนิทไปแล้วและไม่สามารถทำการผ่าตัดรักษาได้ จึงต้องจำใจพาลูกสาวเดินทางกลับบ้าน"  น.ส.กชวรรณ กล่าว      

       น.ส.กชวรรณ กล่าวต่อว่า เชื่อว่าเกิดจากการรักษาที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจึงต้องเดินทางเข้ามาแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่จะเตรียมตัวเดินทางไปยื่นเรื่องเพื่อร้องขอความเป็นธรรมต่อมูลนิธิปวีณา หงส์สกุล เพื่อขอความช่วยเหลือต่อไป เนื่องจากตนเองนั้นมีฐานะยากจน โดยที่สามีนั้นมีอาชีพรับจ้างทั่วไป ส่วนตนเองนั้นมีอาชีพค้าขายส้มตำ แต่หลังจากคลอดบุตรแล้วต้องคอยดูแลบุตรที่พิการอย่างใกล้ชิด จนไม่มีเวลาที่จะประกอบอาชีพทำการค้าขายต่อไปได้อีก

       “ต้องการให้ทาง ร.พ. ดังกล่าว แสดงความรับผิดชอบช่วยเหลือบ้าง ด้วยการนำบุตรสาวของตน ไปช่วยทำการรักษาให้หายเป็นปกติ หรือดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง กลับมามองเห็นบ้างเท่าที่จะทำให้สามารถมองเห็นได้บ้างก็ยังดี “ นางกชวรรณ กล่าว

       ด้านผู้อำนวยการโรงพยาบาลดังกล่าว เปิดเผยว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น สาเหตุเนื่องจากเด็กคลอดก่อนกำหนด อายุครรภ์เพียง 28 สัปดาห์ หรือประมาณ 7 เดือน 4 วัน เด็กมีน้ำหนักน้อยมาก เพียง 1,090 กรัม และ 1,100 กรัม อวัยวะต่างๆ จึงยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน จอประสาทตายังเจริญไม่ดี โดยหลังคลอดออกมา ทางเจ้าหน้าที่ได้พยายามช่วยเหลือชีวิตเด็กทั้งสองคนเอาไว้ ด้วยการนำเข้ายังตู้อบ พร้อมกับการให้ออกซิเจน ก่อนที่จะช่วยเหลือเด็กนั้น ได้ติดต่อไปยังสถาบันเด็กแห่งชาติ ซึ่งมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบในการตรวจรักษามากกว่า ให้ช่วยทำเลเซอร์ให้ จากนั้นจึงได้มีการส่งต่อ และนัดหมายอย่างต่อเนื่องกันไป ในการตรวจรักษา ถึง 3- 4 ครั้ง

       "สำหรับประวัติของมารดาเด็กนั้น ทราบว่าเคยตั้งครรภ์มาแล้วถึง 8 ครั้ง มีอาการแท้งเด็กไปแล้วถึง 3 ครั้ง นอกจากนี้ด้านการดูแลรักษาสุขภาพของมารดาเอง ในระหว่างการตั้งครรภ์นั้นอาจจะส่งผลต่อความไม่สมบูรณ์ของเด็กในครรภ์ด้วย เช่น การรับประทานอาหารการเตรียมความพร้อมอย่างถูกต้อง หรือบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ"ผู้อำนวยการโรงพยาบาล กล่าว 

       ผู้อำนวยการโรงพยาบาลดังกล่าว เปิดเผยต่อว่า เบื้องต้นได้เตรียมให้การช่วยเหลือตามมาตรา 41 โดยผู้พิการจะได้รับการช่วยเหลือเป็นเงินประมาณ 150,000 บาท แต่ทางฝ่ายของมารดาเด็กนั้น ยังไม่ได้ยินยอมเซ็นให้มีการดำเนินการไปตามระเบียบขั้นตอนแต่อย่างใด หลังมีการเข้ามาพูดคุยเจรจากัน ก่อนหน้านี้ 

       ด้าน พ.ต.ท.ไพฑูรย์ พันตานุสนธิ์ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ขณะนี้ต้องรอผลจากการตรวจสอบการรักษา จากร.พ.เด็ก ก่อนว่าการวินิจฉัยในการรักษานั้นเป็นอย่างไร แต่เบื้องต้นดูจากสภาพแล้ว เชื่อว่าเกิดจากภาวะแทรกซ้อนในการรักษาหรือความสมบูรณ์ของเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน เนื่องจากเด็กเกิดมาพร้อมกันสองคน และเข้าตู้อบพร้อมกันอีกคนกลับไม่เป็นอะไร อีกคนกลับมีปัญหาเกิดขึ้น ทั้งที่ทำการรักษาเด็กทั้งสองคนพร้อมกัน

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook